“อัจฉริยะ” โร่ร้อง กมธ.สิทธิมนุษยชนฯ ประสาน ก.ยุติธรรม-ดีเอสไอ ตรวจสอบคราบเลือดแตงโมบนเรือใหม่ ระบุ เดินหน้าปฏิบัติการโดรนใต้น้ำค้นหามีดในเจ้าพระยา จ่อทยอยเปิดคลิปแฉ “ไป 6 กลับ 5” มองเจตนาคนปล่อยภาพแตงโม อาจเป็นคนดีของตำรวจก็ได้ ด้าน “หมอพรทิพย์” ยันคดีแตงโมไม่บานปลาย ชี้ ต้องการให้ประชาชนได้รับความยุติธรรม เผย เห็นแผลกางปลา มั่นใจเป็นกุญแจอีกดอกไขคดี
วันนี้ (23 พ.ค.) เมื่อเวลา 09.55 น. ที่รัฐสภา นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เข้ายื่นหนังสือต่อประธานกรรมาธิการวุฒิสภา ผ่าน คุณหญิง พรทิพย์ โรจนสุนันท์ ให้กรรมาธิการได้โปรดมีหนังสือถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษ ตรวจเรือลำเกิดเหตุคดีน้องแตงโม เพื่อหาคราบเลือดใหม่ เนื่องจากมีพยานหลักฐานใหม่ว่าเป็นฆาตกรรมอำพราง
นายอัจฉริยะ กล่าวว่า วันนี้ตนเดินทางมายื่นหนังสือถึงกรรมาธิการ (กมธ.) สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา เพื่อขอความเมตตาให้ช่วยประสาน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม หรือ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ไปตรวจคราบเลือดเรือลำที่เกิดเหตุใหม่ เนื่องจากมีหลักฐานสำคัญที่เชื่อว่าถ้าตรวจสอบใหม่อีกครั้งจะพบคราบเลือดของ น.ส.ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ หรือ แตงโม
เมื่อถามว่า หลักฐานสำคัญคืออะไร นายอัจฉริยะ กล่าวว่า เมื่อวานนี้ที่ นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความของนางภนิดา ศิระยุทธโยธิน แม่แตงโม ให้สัมภาษณ์ว่า เขากับคุณแม่มีหลักฐานมาแล้ว ว่า แตงโมถูกทำร้ายร่างกายบนเรือ ในฐานะทนายควา มเมื่อทราบแล้วถามว่าทำไมไม่คุยกับตำรวจว่าคดีนี้ไม่ใช่การประมาท แต่เป็นคดีที่มีการทำร้ายร่างกายกัน และมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน ทำไมถึงไม่ทำหน้าที่ทนายความที่ดี ทำไมต้องให้ตนมาเปิด สิ่งที่กำลังทำอยู่ขณะนี้ ยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกหลายขั้นตอน เช่น การจะนำหลักฐานไปมัดผู้ต้องหาทั้งหมด ต้องเจอคราบเลือด มีด และอื่นๆ หรือเจอวัตถุพยานที่สำคัญที่จะมัดตัว ซึ่งภาพกับคลิปเรามีอยู่แล้ว เพียงแต่เราจะมัดเขาอย่างไร เพราะเดี๋ยวเขาก็อ้างว่าเป็นภาพตัดต่อก็ได้ นอกจากนี้ ในสัปดาห์นี้เราจะมีปฏิบัติการโดรนใต้น้ำ โดยจะเริ่มตั้งแต่สะพานซังฮี้ ไปถึงสะพานพระราม 8 เพื่อหาวัตถุพยานคือมีด ส่วนเรื่องคลิปคาดว่าพรุ่งนี้น่าจะมีการเปิดเผยออกมาบ้าง โดยใช้หัวข้อว่าไป 6 กลับ 5 ซึ่งสิ่งที่เรากำลังจะเปิดกับตำรวจมันคนละเรื่องเลย วันนี้เราไม่ได้มาส่งหลักฐานให้ กมธ. แต่แค่มายื่นเรื่องให้ช่วยประสานกับดีเอสไอ เพื่อขอให้ตรวจสอบเรื่องคราบเลือดบนเรือเท่านั้น ซึ่งจะพิสูจน์ได้ว่าหากวันนี้ดีเอสไอไม่ยอมไปตรวจคราบเลือดให้เรา หมายความว่า เขาก็ไม่รับเราเป็นคดีพิเศษอยู่แล้ว โดยเราได้ยื่นหนังสือกล่าวโทษไปแล้วว่าคนบนเรือฆาตกรรมอำพราง มันก็จะได้วัดกันไปเลย เพราะตนไม่เชื่ออยู่แล้วว่าไม่มีคราบเลือด ตนเชื่อว่า มี เพราะ 1 ใน 5 คนบนเรือ ได้มีการบอกเราอยู่แล้วที่มีการมาเจอกันว่าเลือดอยู่ตรงไหน ดังนั้น ถ้ามีการตรวจคราบเลือดใหม่ ตนเชื่อว่า ถึงแม้เรือจะตากแดดตากฝน หรือใช้น้ำยาล้างก็น่าจะมีหลงเหลืออยู่
เมื่อถามว่า คลิปที่จะเปิดนั้นบอกได้เลยหรือไม่ว่าเป็นการฆาตกรรมอำพราง นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ตนเอาแค่ว่าไป 6 กลับ 5 และช่วงเวลาที่ตกเรือก็ไม่ใช่เวลาที่ตำรวจพูด แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว อย่างน้อยก็ทำให้ตำรวจที่มาแถลงข่าวเมื่อวันที่ 26 เม.ย. ก็เป็นเฟกนิวส์ทั้งนั้น ไม่ได้เกิดจากเรื่องจริง แต่เป็นเรื่องมโน โดยใช้นิติไสยศาสตร์ ไม่ใช่นิติวิทยาศาสตร์ และที่อ้างว่ามีผู้เชี่ยวชาญทางภาพ ตนก็จะเปิดหลักฐานให้ดูแล้วว่าคนที่ทำภาพก็มาเรียนกับตน
เมื่อถามว่า คลิปนี้ไม่ได้อยู่ในสำนวนของตำรวจแล้วใช่หรือไม่ นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ความจริงตำรวจเห็นอยู่แล้ว แต่เขาไม่ทำให้ตรงไปตรงมา วันนี้ตนยังยืนยันว่า ตำรวจภาค 1 ไม่ทำอย่างตรงไปตรงมา แต่ไม่ได้เกิดการทุจริตในการรับเงินรับทอง แต่เนื่องจากไม่ทำอย่างตรงไปตรงมา หรืออาจจะเพราะเขาฝีมือไม่ถึงก็ได้ ซึ่งตนยังมองไม่ออก แต่ในส่วนของเรามีหน้าที่พิสูจน์ความจริงว่าสิ่งที่คนบนเรือพูดไม่มีความน่าเชื่อถือ และเป็นเรื่องของการให้การเท็จต่อเจ้าพนักงาน เราจะพิสูจน์ให้เห็นว่าเมื่อคน 1 ใน 5 จะพูดออกมาแล้ว โดยเราจะทำให้ทุกคนเห็นที่ละชิ้นๆ แต่คงใช้เวลาไม่นาน
เมื่อถามว่า หากดีเอสไอไม่รับเป็นคดีพิเศษจะเดินหน้าอย่างไร นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ตนไม่รู้ แต่อย่าเพิ่งไปคาดเดา เพราะตอนนี้อยู่ระหว่างการสอบผู้เชี่ยวชาญของเราจำนวน 2 ปาก แต่ยังมีผู้เชี่ยวชาญอีกมากมายที่ยังไม่ได้ถูกสอบ ถ้าเขายอมไปตรวจคราบเลือดให้เราก็จะแสดงให้เห็นถึงความจริงใจที่เขาต้องการทำคดีให้เรา ถ้าดีเอสไอไม่รับตรวจเรือแล้วคุณจะมาสอบเราทำไม ถ้าเขาจริงใจต้องไปทำ ถ้าเขาไม่จริงใจรับคดีเรา ถ้าเขาไม่ทำ 99.9% แสดงว่าอธิบดีดีเอสไอเกรงใจตำรวจ
เมื่อถามว่า ตอนนี้แม่ของแตงโมเริ่มเชื่อแล้วว่า เป็นการฆาตกรรม นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ตนยังไม่อยากให้คุณแม่เชื่อตนขนาดนั้น เพราะเดี๋ยวจะไปกระทบจิตใจคนอื่นอีก แต่ตนมีหน้าที่พิสูจน์ความจริงให้คนอื่นได้เห็น ส่วนทนายความก็ควรทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ไม่ใช่ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่ารู้แล้วว่ามีภาพและคลิปที่มีการซ้อมแตงโม แล้วทำไมไม่คุยกับตำรวจ หรือมอบให้อัยการ โดยมีสาเหตุจูงใจมาจากการทะเลาะเบาะแว้งกัน ซึ่งเป็นมูลเหตุจูงใจอยู่แล้วว่าเหตุผลนี้ ทำให้มีการฆาตกรรมอำพรางได้ นั่นคือ หน้าที่ของทนายความที่ดี ไม่ใช่มาเห่าหอนทุกวันโดยไม่ทำหน้าที่ของทนายความ
เมื่อถามถึงกรณีที่มีภาพแตงโมเปิดเผยในเฟซบุ๊กช่วงที่ผ่านมา นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ภาพล่าสุดที่ถูกทำร้ายเป็นภาพเก่า ไม่ใช่ภาพวันเกิดเหตุ ส่วนภาพที่มีผู้หญิงสองคนนั่งในเรือก็เป็นภาพตัดต่อที่ไม่น่าเชื่อถือ ส่วนที่มีการเชื่องโยงว่าตนเกี่ยวข้องกับบังแจ็คนั้น ทนายตั้มเลอะเทอะ ที่จะมีแอกเคานต์ต้องถามคุณแม่ ซึ่งคุณแม่บอกว่า มี 3 คน ไม่เกี่ยวกับตนอยู่แล้ว ตนยังไม่เคยเจอและพูดคุยกับคุณแม่เลย แล้วเขาจะเอาแอกเคานต์มาให้ตนได้อย่างไร บังแจ็คไม่มีราคาสำหรับตน และเป็น 18 มงกุฎ ตนจะไปคบคนแบบนั้นได้อย่างไร ถ้าตนจะทำตนเปิดเองดีกว่า เพราะไม่ได้ผิดกฎหมายอยู่แล้ว ซึ่งตนเปิดได้ดีกว่าคนที่เปิดอีก ตนมีเครดิตและมีคนเชื่อถือมากกว่าบังแจ็คอีก เมื่อถามต่อว่า เชื่อว่า เป็นการเปิดเผยโดยใคร นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ตนเชื่อว่า คนที่เปิดเป็นคนดี แต่ไม่ใช่บังแจ็ค เป็นคนดีที่อยู่ในประเทศไทย และเปิดเผยในประเทศไทย ไม่ใช่ต่างประเทศ ยืนยันว่า ตนไม่ได้เกี่ยวข้องที่เปิด โดยประสบการณ์ของตน 10 ปี ที่เคยมีคลิปแบบนี้คนไหนที่ได้คลิปและรูปไป คนนั้นย่อมมีแอกเคานต์และสามารถมาเล่นอะไรก็ได้ในช่วงนี้ เพราะเขาก็เป็นคนที่ไม่ได้รับความยุติธรรม แต่อย่าลืมว่ามีคน 3 คน ที่เข้าถึงแอกเคานต์นี้ ซึ่งก็ยังไม่รู้ เพราะอีกคนหนึ่งอยู่ต่างประเทศ ส่วนอีกสองคนอยู่ในประเทศไทย แต่ตนไม่มองว่า 3 คนนั้น เป็นคนปล่อยภาพ เพราะไม่มีเหตุผล แต่คนที่มั่นใจที่สุด คือ คนในวงการเจ้าหน้าที่รัฐ
เมื่อถามว่า อีกไม่กี่วัน อัยการจะสรุปสำนวณอีกครั้ง นายอัจฉริยะ กล่าวว่า เขายังไม่สั่งฟ้องในวันที่ 27 พ.ค. ตามที่นายเดชาพูด เพราะเขาต้องทำให้ละเอียดรอบคอบ ถ้าเกิดอีก 2 วันมีภาพออกมาว่ามีการทำร้ายร่างกาย แล้วจะบอกว่าเป็นการประมาทได้อย่างไร โดยอัยการยังมีเวลาอีก 24 วัน หากจะส่งฟ้องวันสุดท้ายก็ยังทัน ดังนั้น ไม่ต้องรีบ ตนเชื่อว่า อัยการนนทบุรีเป็นคนที่ละเอียดรอบคอบ และทำคดีนี้ให้ดีที่สุดในชีวิต เพราะเป็นคดีประวัติศาสตร์ คงไม่นำชื่อเสียงมาแลกกับเรื่องแบบนี้ ทั้งนี้ ตนบอกเลยว่า คดีนี้เขาสู้แน่นอน เขาไม่ยอมรับสารภาพ แม่อาจจะไม่ได้เงินในคดีนี้ เพราะมีเหตุสงสัยเยอะในคดีประมาท เรือลำเดียวกัน ประมาททั้ง 5 คนนั้น เป็นไปไม่ได้ ถามว่า จ๊อบประมาทอย่างไร เพราะเป็นแค่คนชงเหล้าแล้วนั่งดู ความจริง ตนสงสารครอบครัวนายจ๊อบ เพราะเขาเป็นเพียงลูกจ้างคนหนึ่งที่ไปอยู่ในเรือ และไม่รู้อิโหน่อิเหน่และต้องมานั่งทนเห็นภาพต่างๆ ตนยังยืนยันว่า ควรจะไปคุยกับครอบครัวให้ดี เพราะวันนี้เราเป็นจำเลย แต่ยังกลับมาเป็นพยานได้ สิ่งที่เกิดขึ้นบนเรือคนนั่งอยู่ข้างหน้าเห็นใครทำร้ายแตงโม
เมื่อถามว่า ใกล้ถึงวันฌาปนกิจของแตงโมแล้ว จะมีอะไรเกิดขึ้นอีกหรือไม่ นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ผลของนิติเวชครั้งแรกตนไม่เชื่อ เพราะเป็นการนำวัตถุปนเปื้อนมาทำ และไม่เคยมีใครในโลกและประเทศไทยที่หมอคนไหนเอาใบพัดเรือที่มีสารปนเปื้อน ไปทำกับขาแตงโมและบาดแผลจุดต่างๆ ก็มีความแปลก การเปลี่ยนแปลงสภาพจากผลตรวจเบื้องต้นของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม มาที่โรงพยาบาลตำรวจ อยู่ในการควบคุมของคนมีสี ฉะนั้นความน่าเชื่อถือของบาดแผลด้านขวาเป็นเฟกนิวส์อยู่แล้วที่นำมายืนยันว่าเกิดจากใบพัดเรือ ตนทราบอยู่แล้วว่าคุณไปทำอะไรต่างๆ ดังนั้น จึงไม่มีความน่าเชื่อถือตั้งแต่แรก อีกทั้งการที่ไปตรวจร่ายกายคนบนเรือทั้งที่มีบาดแผลแต่กลับไม่ตรวจสอบให้สิ้นสงสัยว่าเกิดจากอะไร ทั้งที่คุณเป็นหมอนิติเวช
นายอัจฉริยะ กล่าวถึงกรณีที่เคยพูดว่า หลังจากนี้ หากเปิดหลักฐานออกไปแล้วหากไม่จริงจะยอมให้โดนเหยียบหน้าว่า เรื่องนี้ตนพูดถึงผู้กำกับ สภ.เมืองนนทบุรี หากไม่สามารถย้ายเขาออกจากพื้นที่ได้ ให้ใครก็ได้มาเหยียบหน้าตนได้เลย เป็นเรื่องของผู้กำกับ สภ.เมืองนนทบุรี คนอื่นไม่เกี่ยว ซึ่งเขาได้ไปแจ้งความดำเนินคดีกับตน และตนจะได้มีการดำเนินคดีกับเขาในวันพรุ่งนี้ (24 พฤษภาคม) เวลา 10.00 น. และตอนนี้ยืนยันว่า ไม่มีคนข่มขู่แต่อย่างใด เพราะตนไม่กลัวใครอยู่แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ คือ การพิสูจน์ความจริงให้กับแตงโมและคนไทยทั้งประเทศ ซึ่งวันหน้าอาจจะเกิดคดีแบบแตงโมอีก หากปล่อยเจ้าหน้าที่รัฐร่วมมือในกระบวนการสร้างพยานหลักฐานเป็นเท็จ เอาคำพูดคนรวยมาเป็นตัวตั้งคดี ต่อไปความยุติธรรมจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ทั้งนี้ ตนไม่อยากเชื่อกระทรวงยุติธรรม จากประสบการณ์ 10 ปีที่ผ่านมา และในยุคนี้ขึ้นอยู่กับการเมือง ใจถึงไม่ถึง ตั้งแต่เป็นอธิบดีคนใหม่มา 6 เดือน ยังไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน
“ผมไม่เข้าใจว่า เหตุใดไม่ลองทำคดีแตงโม ซึ่งเขาแทบจะไม่ต้องทำอะไร เพราะทุกอย่างมาจากผมและทีมงานทั้งหมด แม้กระทั่ง พญ.คุณหญิงพรทิพย์ ก็เป็นพยานในคดีนี้ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านเรืออีกหลายคนก็เป็นพยานในคดีนี้ จึงอยากท้าดวล หาก กมธ.ให้ไปตรวจคราบเลือด จะไปตรวจหรือไม่ หากไม่ตรวจแสดงว่าคุณไม่รับคดีนี้ ดังนั้น จึงไม่ต้องคิดอะไรมาก กระทรวงยุติธรรมในยุคนายสมศักดิ์ กับอธิบดีกรมสอบสวนพิเศษ หากไม่รับทำคดี ผมจะถือเป็นยุคตกต่ำที่สุด และผมจะมีการดำเนินคดีกับกระบวนการของดีเอสไอ ทั้งเรื่องการใช้กฎหมายฟอกเงินในการไปเรียกผลประโยชน์ในคดีลำพูนแบริเออร์ และสโมสรฟุตบอล โดยนำคดีชบาไปอ้างว่าเป็นคดียาเสพติด ซึ่งตนมีหลักฐานแต่ยังไม่มีเวลาว่างเพราะทุ่มเทเวลาให้กับคดีแตงโม แม้พรุ่งนี้ร่างแตงโมจะเผา เราก็จะไม่หยุดทำงาน เพราะเราจะพิสูจน์ความจริง และพรุ่งนี้จะเป็นวันแรกที่เริ่มปล่อยคลิปวิดีโอให้สื่อมวลชนได้เห็น โดยจะเป็นหลักฐานที่เราจะนำไปยื่นดีเอสไอด้วย” นายอัจฉริยะ กล่าว
เมื่อถามถึงคนที่ปล่อยคลิปแตงโม มองว่า หวังดีหรือมีสิ่งอื่นแอบแฝง นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ความคิดตนอย่าไปมองเขาในแง่ร้าย สิ่งที่ไม่เคยเห็นก็จะได้เห็น สิ่งที่เป็นเฟกนิวส์ก็ว่ากันไป มองว่าเป็นอารมณ์สร้างสีสัน ส่วนจะมีประโยชน์หรือไม่ให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน ส่วนความคิดตนนั้นมองว่าตำรวจมีตั้งแต่ที่ดูดข้อมูลในมือถือแล้ว และไม่เชื่อว่าเป็นคนนอกที่ปล่อย แต่เป็นคนดีของตำรวจ
ด้าน นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ในฐานะประธานกรรมาธิการ (กมธ.) สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา กล่าวว่า ตนจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ระบบวุฒิสภา เพื่อลงเลขรับว่ามีการยื่นเรื่องซ้ำซ้อนหรือไม่ และจะพิจารณาในการประชุมครั้งถัดไป ส่วนการดำเนินการมากน้อยเพียงใดนั้น กมธ.จะยึดตามหลักกฎหมาย หน้าที่ของ กมธ. และรัฐธรรมนูญ รวมถึงยึดหลักความถูกต้องเป็นธรรม โดยจะไม่แทรกแซงก้าวก่าย เมื่อมีคนร้องมาก็จะดูว่าเราสามารถส่งไปให้หน่วยงานที่รับผิดชอบได้หรือไม่ กมธ.ไม่ได้มีหน้าที่ไปสั่งการ แต่มีหน้าที่ในการประสาน ซึ่งจะได้ผลเป็นอย่างไรจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง
ด้าน แพทย์หญิงคุณหญิง พรทิพย์ กล่าวว่า เป็นครั้งแรกที่ตนได้เจอกับนายอัจฉริยะ ซึ่งวันนี้มายื่นในมุมของ กมธ.สิทธิมนุษยชน วุฒิสภา ที่พยายามทำหน้าที่ช่วยประชาชน ซึ่งเราได้มีการพูดคุยและแนะนำเพื่อให้เกิดความแน่นหนาทางวิทยาศาสตร์ โดยสถานการณ์ในขณะนี้ ตนยังมองว่าไม่ได้บานปลาย เป็นสิ่งที่อยู่ภายใต้ภูเขาน้ำแข็ง เป็นปัญหาที่หมักหมมมานาน ไม่มีใครกล้าที่จะทำ หากมีใครกล้าทำจะถูกคุ้ยแคะสารพัด เพราะก่อนนายอัจฉริยะตนก็ได้ทำมาแล้ว แต่ในบทบาทของ ส.ว.เราทำไม่ได้ ดังนั้น เราจึงแยกกันทำหน้าที่ แต่มีวัตถุประสงค์เดียวกัน คือ ประชาชนได้รับความยุติธรรม และกระบวนการยุติธรรมความโปร่งใส ดังนั้น อยากให้นิ่งๆ และคนที่คล้ายสนับสนุนหรือติดตาม หากมีข้อมูลสามารถส่งให้นายอัจฉริยะหรือกมธ.ได้ และขออย่ามองว่าเป็นการทำให้ยุ่ง
แพทย์หญิงคุณหญิง พรทิพย์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของคราบเลือดนั้นเป็นในส่วนของวิทยาศาสตร์ ซึ่งสามารถตรวจหาได้แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานขนาดไหนหากมีอยู่จริง ทั้งนี้ ย้ำว่าตนและนายอัจฉริยะแยกกันทำงาน โดยตนทำงานด้วยวิทยาศาสตร์ ด้วยหน้าที่ที่เป็นกรรมการ เป็นที่ปรึกษา ตนได้เห็นแผลถลอกก้างปลา เราบอกได้ว่าสิ่งนี้ที่จะนำไปสู่กุญแจตัวหนึ่ง แต่ตอนนั้นพูดไม่ได้เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังทำงาน จะผิดจริยธรรมของ ส.ว. แต่เมื่อตำรวจทำงานเสร็จแล้วเราสามารถพูดคุยได้เมื่อมีผู้มาถาม ส่วนความสนใจในแผลก้างปลานั้น เพราะเป็นแผลวิทยาศาตร์ที่บอกจุดตก เพราะผู้เชี่ยวชาญด้านเรือและอื่นๆ ยืนยันตรงกันหมดว่า จุดตกคือหัวเรือ ดังนั้น เมื่อจุดตกไม่ตรงกับคำให้การ เราต้องฟังวิทยาศาสตร์ แต่จะทำอะไรได้หรือไม่นั้น ตนไม่ทราบ ซึ่งแผลดังกล่าวนี้เป็นแผลถลอกตื้น ขนานกันที่ต้นขา ด้านหลังและที่น่องด้านหลังตั้งแต่บนลงล่าง เฉียงจากนอกเข้าในสม่ำเสมอ นั่นแปลว่าไม่ใช่มนุษย์ทำ สิ่งที่เป็นไปได้คือ ถูกใบพัดเรือและใบพัดที่จะพัดตรงขนาดนี้ กระแสน้ำต้องพาร่างตรงๆ ผ่านใบพัด ดังนั้น ต้องไปดูว่าส่วนไหนที่กระแสน้ำจะตรง และอีกส่วนหนึ่งที่แผลไม่ลึกนั้น เพราะฟินเรือบัง จึงกดร่างไม่ให้โดนใบพัดไม่ให้บาดลึก