“รสนา” ขออภัยความเข้าใจผิด พาดหัวเรื่อง “ไม่เลือกรสนา ชัชชาติมาแน่” แจงประเด็นกลุ่มทุนใหญ่อยู่เบื้องหลังการเลือกตั้ง กทม. ประกาศทิ้งไพ่ใบสุดท้าย ยกระดับ “ไม่เลือกรสนา กลุ่มทุนสามานย์มาแน่”
วันนี้(21 พ.ค.) น.ส.รสนา โตสิตระกูล ผู้สมัครรับการเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก รสนา โตสิตระกูล ขออภัยต่อพี่น้องประชาชนทุกท่านที่อาจเข้าใจผิดต่อการ “พาดหัว” บทความรวมถึงคำปราศรัยใหญ่เมื่อวันที่ 19 พ.ค.ที่ว่า “ไม่เลือกรสนา ชัชชาติมาแน่” แล้วคิดว่าดิฉันชวนให้ประชาชนเกิดความกลัวคุณชัชชาติ เพียงเพราะอ่านแต่การพาดหัวโดยไม่ได้อ่านบทความให้จบเสียก่อน
ในทางตรงกันข้ามดิฉันมีเจตนาตอบโต้ยุทธศาสตร์ “ไม่เลือกเรา เขามาแน่” และตอบโต้วิชามาร “เลือกรสนา ชัชชาติมาแน่” เพื่อโฆษณาชวนเชื่อให้สนับสนุนเทคะแนนให้คนที่ทุจริตกลับเข้าสู่อำนาจ ประเด็นนี้ต่างหากที่จะเป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่า จึงมีความจำเป็นต้องย้อนเกร็ดตอบโต้กลุ่มคนเหล่านี้ว่า “ไม่เลือกรสนาต่างหาก ที่ชัชชาติจะมาแน่”
เพราะในความเป็นจริงแล้ว ประชาชนเลือกใครให้มากก็ควรจะได้คนผู้นั้นชนะการเลือกตั้ง และดิฉันตั้งใจดึงสติพี่น้องประชาชนว่า เป็นไปไม่ได้ที่ประชาชนที่มีความห่วงใยบ้านเมือง จะยอมเทคะแนนสนับสนุนคนทุจริตให้ไปบริหารกรุงเทพมหานคร เพียงเพื่อสนองตอบมายาคติความกลัวขั้วฝ่ายตรงกันข้าม และเราควรยุติความเชื่อ “ไม่เลือกเรา เขามาแน่”ได้แล้ว
เพราะยุทธศาสตร์ดังกล่าวจะไม่มีวันได้ผล มีแต่จะทำให้เสียงแตก มีแต่ยุทธศาสตร์ การเลือกคนดีไปปกครองบ้านเมือง และการหยุดการทุจริตให้สำเร็จเท่านั้น ที่มีโอกาสจะทำให้เป็นความหวังของคนกรุงเทพในการทำให้กรุงเทพมหานครดีกว่าเดิมได้ และถ้าคนกรุงเทพเชื่อเช่นนั้นได้พร้อมกัน คนๆนั้นก็ย่อมจะชนะการเลือกตั้งได้เช่นกัน
ในโอกาสโค้งสุดท้าย และวันสุดท้ายของการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ดิฉันขอ ประกาศ “ยกระดับ” ทิ้งไพ่ใบสุดท้าย
“ไม่เลือกรสนา กลุ่มทุนสามานย์มาแน่”
กลุ่มทุนสามานย์ไม่ใช่กลุ่มทุนทั่วไป หมายถึงกลุ่มทุนผูกขาดทุกกลุ่ม กลุ่มทุนล็อคเสปก กลุ่มทุนที่หาประโยชน์จากการจัดซื้อจัดจ้างทุกกรณี แล้ววันนี้มาเป็นกลุ่มทุนที่สนับสนุนให้กับพรรคการเมือง หรือ ผู้สมัครอิสระตัวปลอมเพื่อให้ผู้สมัครผู้ว่าของกลุ่มทุนเข้าไปสู่อำนาจแล้วเข้าไปเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนสามานย์ต่อไป
กลุ่มทุนสามานย์ไม่มีสีเสื้อ ไม่มีอุดมการณ์ทางการเมือง อุดมการณ์เดียวที่มีคือ กำไรสูงสุด โดยอาศัยอำนาจรัฐของนักการเมืองที่ได้อำนาจจากประชาชนมาประเคนตอบแทนให้ กลุ่มทุนสามานย์จึงสนับสนุนให้ทุกพรรค ทุกคนที่สามารถเข้าไปมีตำแหน่งทางการเมือง ผู้ใหญ่ในวงราชการท่านหนึ่งเคยกล่าวกับดิฉันว่า ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.กลุ่มทุนใหญ่ก็จะทำทุกวิถีทางในการสนับสนุนคนของตนให้เข้าสู่อำนาจเพื่อเอื้อเมกกะโปรเจคให้กลุ่มทุน
การเลือกตั้งผู้ว่ากทม.ที่มีเงินเดือน 4 ปี แค่ 5.4 ล้านบาท แต่ใช้งบหาเสียงได้ถึง49ล้านบาท และเท่าที่ทราบจากวงในของผู้รู้ทางการเมือง บอกว่าเคยมีการใช้เงินหาเสียงผู้ว่ากทม.กันถึงกว่า 200 ล้านบาท จึงต้องตั้งคำถามว่าใช้เงินจากไหน จากกลุ่มทุนสามานย์ทั้งสิ้น ใช่หรือไม่ โดยที่ไม่ได้ให้ฟรีๆแน่นอน ต้องมีการตอบแทน ใช่หรือไม่
ดิฉันขอยกตัวอย่าง กรณีศึกษา คุณรักเกียรติ สุขธนะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่เคยถูกจำคุกเพราะคดีทุจริตยา 1,400 ล้านบาท โดยที่ดิฉันและเครือข่ายเป็นผู้ดำเนินการ เคยกล่าวเอาไว้ว่า
“การทุจริตอยู่คู่สังคมการเมืองไทย ความจำเป็นในการใช้จ่ายเงินในการเลือกตั้ง ที่ต้องอาศัยเงินจากกลุ่มทุนการเมือง จึงเป็นธรรมดาอยู่เองเมื่อได้รับเลือกตั้งแล้วต้องตอบแทนกลุ่มทุนให้ได้ถอนทุนคืน บางครั้งก็ส่งคนของตัวเองมารับตำแหน่งเพื่อถอนทุนคืนพร้อมกับต้องสะสมทุนเพื่อการเลือกตั้งครั้งต่อไป”
ด้วยเหตุผลนี้ การเมืองไทยจึงตกอยู่ในวงจรอุบาทว์ของธุรกิจการเมือง ที่ใช้เงินเข้าสู่อำนาจ และใช้อำนาจตอบแทนกลุ่มทุนให้สามานย์ได้ สร้างความร่ำรวยมากขึ้นแต่ประชาชนจนทั้งแผ่นดิน
กลุ่มการเมือง 2 ขั้วความคิด ก็แค่ต่อสู้ผลัดกันเข้าสู่อำนาจ แต่ทุนสามานย์อยู่ได้กับทุกพรรคการเมือง กลุ่มทุนสามานย์คือ ผู้กำกับทิศทางการเมืองไทยที่แท้จริง มีอำนาจเหนือนักการเมืองทุกค่าย มีอำนาจเหนือนักวิชาการบางคน และเหนือสื่อมวลชนบางสำนัก มีอำนาจเหนือโพลหลายสำนักเพราะทุกกลุ่มทำโพลต้องหาสปอนเซ่อร์ทั้งสิ้น ใช่หรือไม่
เมื่อดิฉันเป็นม้านอกสังกัดกลุ่มทุนสามานย์ จึงเป็นม้านอกสายตาของสื่อ และโพล ทั้งหลายไปด้วยโดยปริยาย
มีสื่อใหญ่บางแห่ง และนัการเมืองที่มีสายสัมพันธ์กับกลุ่มทุนด้านคมนาคม ที่ออกมาตีนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทของดิฉันว่าทำไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น สื่อเนชั่นถึงกับปล่อยข่าวเท็จลงยูทูปว่า ดิฉันเคยสอบตกในการสมัครผู้ว่าฯ กทม.มาแล้วด้วยคะแนนต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ ดิฉันไม่เคยลงสมัครผู้ว่าฯกทม.มาก่อน แต่ที่แน่ๆคือดิฉันเคยได้คะแนนเลือกตั้งส.ว 2ครั้ง และเคยได้คะแนนสูงสุดในประเทศถึง 743,397 สื่อเนชั่นนอกจากจะไม่ขอโทษต่อดิฉันในการนำเสนอข้อมูลที่ผิดพลาดแล้ว ยังไม่เคยเชิญดิฉันออกอากาศอีกด้วย ดิฉันจึงได้ตรวจสอบข้อมูลจึงเห็นว่าผู้บริหารของกลุ่มทุนเนชั่น และกลุ่มทุนธุรกิจรถไฟฟ้าเคยมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจอย่างใกล้ชิดมาก่อน ใช่หรือไม่
นอกจากนั้นบางสื่อที่เคยถูกดิฉันตรวจสอบเรื่องสัมปทานคลื่นทีวี ก็ไม่เชิญไปออกรายการ ทั้งที่เจ้าหน้าที่รายการได้ติดต่อเชิญมาแต่กลับยกเลิกภายหลัง
เช่นเดียวกับการทำโพลของสำนักดุสิตโพลถูกดิฉันจับได้ว่า ใช้การสำรวจแบบโหวตคือคนตอบแบบสอบถามทำซ้ำกี่ครั้งก็ได้ แต่มารายงานแบบโพล และในแบบสอบถาม มีระบุชื่อ 2 คนที่ยังไม่ได้ประกาศตัวลงสมัครผู้ว่า แต่กลับไม่ปรากฎชื่อดิฉันทั้งที่ประกาศตัวชัดเจนมาแต่แรก และที่น่าสนใจที่สุดคือแบบสอบถามนั้นถูกส่งมาในกรุ๊ปไลน์ของหลักสูตรผู้นำเมืองของกทม. ขอให้สมาชิกช่วยโหวตให้ผู้สมัครที่ยังไม่ประกาศตัวลงสมัครอีกด้วย !!
จึงไม่น่าสงสัยว่าโพลก็สามารถจ้างปั่นคะแนนให้ผู้สมัคร ได้ใช่หรือไม่ เพื่อนำมาสู่การกำหนดยุทธศาสตร์ ไม่เลือกเรา เขามาแน่ โดยให้ใช้คะแนนจากผลโพลเพื่อสร้างมายาคติผ่านสื่อให้คน กทม.ต้องเลือกตามยุทธศาสตร์ โดยไม่ต้องสนใจว่าคนเหล่านั้นจะเป็นตัวแทนกลุ่มทุนสามานย์ เข้าไปทำธุรกิจการเมืองหรือไม่
ยุทธศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังก็คือ “การแบ่งแยกเพื่อปกครอง สนองผลประโยชน์อันมิชอบของนักการเมืองบางคนและกลุ่มทุนบางกลุ่มด้วยการสร้างมายาคติ “ไม่เลือกเรา เขามาแน่” กลุ่มทุนสามานย์จึงอยู่ได้กับทุกค่ายความคิด และแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตัวเอง
บ้านเมืองจึงตกอยู่ภายใต้ทุนใหญ่ด้านอสังหาริมทรัพย์ ที่ระบายสีผังเมืองตามใจชอบ อยู่ภายใต้ทุนพลังงาน ที่ทำราคาพลังงานแพงเว่อร์ และกลุ่มทุนโรงไฟฟ้าที่ไม่เดินเครื่องผลิตไฟ ก็ยังได้เงินจากกระเป๋าประชาชนปีละ 49,000 ล้านบาท ในขณะที่คนไทยยากจนลง กลุ่มทุนสามานย์ก็ร่ำรวยมากขึ้น ภายใต้ทุนก่อสร้าง ที่รอโครงการเมกกะโปรเจคของผู้ว่า ส่วนภายใต้ทุนคมนาคม ก็หวังได้สัมปทานรถไฟฟ้ากันตลอดชาติ ใช่หรือไม่
สิ่งที่คนกทม.ได้จากการเลือกด้วยมายาคติดังกล่าว คือ
1)อุโมงยักษ์ระบายน้ำหลายแห่ง กลายเป็นเมกกะโปรเจค ที่ระบายน้ำไม่ได้และล่าสุด อุโมงค์ยักษ์ที่อาคารรับน้ำบึงหนองบอนก็เพิ่งถล่มเมื่อ 26 กุมภาพันธ์ 2565 หนึ่งเดือนก่อนกำหนดรับมอบ
2)รถไฟฟ้าที่จะถูกสร้างหนี้เพื่อเป็นเหตุผลให้ต้องต่อสัมปทานไปอีก 30ปี ในราคา65 บาท
3)โรงไฟฟ้าจากขยะอ่อนนุชของกทม.ที่ให้เอกชนขายไฟให้การไฟฟ้านครหลวง โดยมีการโฆษณาสวยหรูว่าจะเปลี่ยนบ่อขยะให้กลายเป็นป่าสีเขียวในกรุง แต่ในความเป็นจริงกลับส่งกลิ่นเหม็นสร้างความเดือดร้อนอย่างสาหัสแก่ชุมชนในรัศมี 10 กิโลเมตร ซึ่งเคยร้องเรียนกทม.มาตลอด 2 ปี แต่กทม.ไม่สนใจแก้ไข จนดิฉันและสภาองค์กรของผู้บริโภคส่งเรื่องถึงคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.)โรงไฟฟ้าขยะจึงถูกพักใบอนุญาตเมื่อวันที่ 5 เมษายนมานี้เอง
การที่ดิฉันเป็นม้าที่อยู่นอกคอกของกลุ่มทุนสามานย์ใช่ไหม จึงมีความพยายามกีดกันดิฉันออกจากสารบบ มีอดีตสื่อผู้ใหญ่บางท่านเคยมาเกลี้ยกล่อมให้ดิฉันถอนตัวจากการสมัครผู้ว่า หาว่าดิฉันจะไปขวางเรือเดินสมุทร และเมื่อดิฉันไม่ฟังโอวาทนั้น สิ่งดิฉันพบก็คือกระบวนการปั่นกระแสว่าถ้าเลือกรสนา คะแนนจะตกน้ำเพราะผลโพลต่ำ
ดิฉันขอให้ชาวกทม.อย่าตกอยู่ภายใต้มายาคติของทั้ง 2 กลุ่มการเมืองที่แย่งชิงชัยตำแหน่งผู้ว่า กทม.ด้วยการปั่นกระแสไม่เลือกเรา เขามาแน่ เพราะผู้ที่ได้ประโยชน์แน่ๆคือกลุ่มทุนสามานย์ ที่ร่วมจับมือกับนักการเมืองสร้างโครงการเมกกะโปรเจคที่เป็นทุจริตเชิงนโยบายต่อไป
ชาวกทม.ต้องเชื่อว่า “ต้องหยุดการทุจริตให้สำเร็จ ต้องหยุดกลุ่มทุนสามานย์ไม่ให้ไปต่อ เพื่อให้กรุงเทพไปต่อได้”
ดิฉันขอยกระดับทิ้งไพ่ใบสุดท้ายว่า
“ไม่เลือกรสนา กลุ่มทุนสามานย์มาแน่”
รสนา โตสิตระกูล
20 พฤษภาคม 2565
#เลือกรสนากาเบอร์ 7
ข่าวเกี่ยวเนื่อง
“รสนา” ประกาศยุทธศาสตร์โค้งสุดท้าย วอนคนกรุงยึดแนวพระราชดำรัส หักล้างกระแส “ไม่เลือกเรา เขามาแน่”