“รสนา” ประกาศยุทธศาสตร์โค้งสุดท้าย วอนคนกรุงยึดแนวพระราชดำรัส ร.9 ส่งเสริมคนดีปกครองบ้านเมือง-หยุดการทุจริตเพื่อให้บ้านเมืองเจริญ หักล้างกระแส “ไม่เลือกเรา เขามาแน่” ที่ปั่นซ้ำรอยเลือกตั้งผู้ว่า กทม.ปี 56 แล้วสร้างความเสียหายภายหลัง ย้อนกลับ ไม่เลือกรสนา ชัชชาติมาแน่
วันนี้(20 พ.ค.) น.ส.รสนา โตสิตระกูล ผู้สมัครรับการเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก รสนา โตสิตระกูล ในหัวข้อ “ยุทธศาสตร์โค้งสุดท้าย ไม่เลือกรสนา ชัชชาติมาแน่” มีรายละเอียดระบุว่า ในโค้งสุดท้ายของการหาเสียง ดิฉันขอประกาศ “ยุทธศาสตร์ส่งเสริมคนดีให้ปกครองบ้านเมืองและต้องหยุดการทุจริตให้สำเร็จ” เพื่อหักล้าง “ยุทธศาสตร์ ไม่เลือกเรา เขามาแน่”
ยุทธศาสตร์ส่งเสริมคนดีให้ปกครองบ้านเมืองเป็นพระบรมราโชวาทของในหลวงรัชกาลที่ 9 ความว่า “ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้หมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุข เรียบร้อยจึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้…”
คนดีในที่นี้ ทรงพระราชทานความหมายไว้ในหลายโอกาสว่าต้องมี ความซื่อสัตย์สุจริตและการหยุดการทุจริตนั้น เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเคยทรงมีพระราชดำรัสแก่คณะผู้ว่าราชการจังหวัดแบบบูรณาการ ในโอกาสเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณ เมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม๒๕๔๖ ความตอนหนึ่งว่า
“ถ้าทุจริตแม้แต่นิดเดียว ก็ขอแช่งให้มีอันเป็นไป พูดอย่างนี้หยาบคาย แต่ว่าขอให้มีอันเป็นไป แต่ถ้าไม่ทุจริต สุจริตและมีความตั้งใจมุ่งมั่นสร้างความเจริญ ขอให้ต่ออายุได้ถึง ๑๐๐ ปี ส่วนคนไหนที่อายุมากแล้วขอให้แข็งแรง ความสุจริตจะทำให้ประเทศไทยรอดพ้นอันตราย…”
หากน้อมนำพระบรมราโชวาท ใส่เกล้าใส่กระหม่อมแล้วจะเห็นว่า การทุจริตแม้เพียงนิดเดียวก็ถือว่าเป็นอนันตริยกรรมของข้าราชการประจำและข้าราชการการเมือง รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดที่ไม่สมควรเข้ามาบริหารบ้านเมืองเลย
แต่ถ้าไม่มีการทุจริต พระองค์ท่านตรัสว่า
“ภายใน 10 ปี เมืองไทยน่าจะเจริญ”
ขออัญเชิญพระราโชวาทที่ในหลวงทรงตรัสในคราวเดียวกันอีกว่า
“ต้องหยุดการทุจริตให้สำเร็จ และไม่ทุจริตเสียเอง”
นี่คือที่มาของนโยบายรวบยอดของดิฉัน ที่ว่า “ต้องหยุดโกง กรุงเทพเปลี่ยนแน่”
ดังนั้นดิฉันจึงขอย้ำว่าขอให้พี่น้องชาว กทม.เลือกผู้ว่าฯ ตามแนวทางแห่งพระบรมราโชวาท ซึ่งอยู่บนหลักการของการส่งเสริมคนดีให้ปกครองบ้านเมือง ผู้บริหารที่ดีต้องไม่ทุจริตแม้แต่นิดเดียว และต้องหยุดการทุจริตให้สำเร็จ
ขณะนี้มีคอลัมนิสต์สื่อใหญ่ ส.ส.และพรรคการเมืองบางพรรคออกมาโฆษณาชวนเชื่อเพื่อให้คน กทม.มาลงคะแนนเลือกตั้งเชิงยุทธศาสตร์โดยอาศัยดูคะแนนจากผลโพลที่สุ่มมาเพียงพันกว่าคนที่อาจจะมีการจ้างเพื่อปั่นคะแนนมาจูงกระแสให้เสียงจริงของชาว กทม.กว่า 4 ล้านคนหลงเลือกคนที่มีผลคะแนนสูงสุดตามโพล เพื่อใช้ยุทธศาสตร์ “ไม่เลือกเรา เขามาแน่” แม้คนนั้นจะไม่ใช่คนที่เราศรัทธา ชื่นชอบก็ตาม ต้องกลืนเลือด ฝืนใจ เพื่อเอาชนะอีกฝ่ายให้ได้ คล้ายกับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.เมื่อปี 2556 ที่ใช้ยุทธศาสตร์ “ไม่เลือกเราเขามาแน่” แต่สร้างความเสียหายภายหลัง
ชาว กทม.ได้ประโยชน์อะไรบ้างจากยุทธศาสตร์นั้น
หากเลือกคนที่ถูกกำหนดด้วยมายาคติว่าเป็นพวกของตัวเองไปปกครองบ้านเมือง แต่เขาไปโกงบ้านกินเมือง มันจะมีประโยชน์อะไร มันดีต่อประชาชนชาว กทม.อย่างไร ?
ยุทธศาสตร์ไม่เลือกเรา เขามาแน่ เป็นมายาคติที่ฝ่ายการเมืองใช้ปั่นหัวประชาชนเพื่อให้เลือกฝ่ายตัวเองที่มีธุรกิจการเมืองแอบแฝงอยู่เบื้องหลังหรือไม่?
ยุทธศาสตร์เบื้องหลังที่แท้จริงคือ “ยุทธศาสตร์แบ่งแยกเพื่อปกครอง” และมาโกงกินภาษีของประชาชน ใช่หรือไม่?
ประชาชนชาว กทม.จะได้ประโยชน์อะไร ถ้าฝ่ายที่เราเลือกมาแล้วโกงกินบ้านเมืองสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนไม่ต่างกัน
เมื่อปี2556 เลือกผู้ว่าฯด้วยยุทธศาสตร์นี้ และสิ่งที่คน กทม.ได้ อาทิ
1)อุโมงค์ยักษ์มูลค่ารวมหลายหมื่นล้านแต่ไม่สามารถแก้น้ำท่วมได้
2)การทำสัญญาจ้างบีทีเอสเดินรถในส่วนต่อขยาย ไปถึงปี 2585 เป็นการล็อคสเปกเอื้อประโยชน์ ให้บีทีเอสใช่หรือไม่ ทั้งยังเป็นสัญญาจ้างเดินรถส่วนต่อขยายที่กทม.ไม่ได้เป็นเจ้าของ แต่ทำไปถึงปี 2585 ด้วยงบประมาณ 1.61 แสนล้านบาทโดยรู้ดีว่ารถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลักจากหมอชิต - อ่อนนุชที่ให้สัมปทานบีทีเอส 30 ปี สมัยลุงจำลอง ศรีเมือง จะหมดอายุสัมปทานในปี 2572 เป็นการล็อกสเปกเพื่อเอื้อประโยชน์ให้บีทีเอส ใช่หรือไม่ ซึ่งกรณีนี้ถูกฟ้องอยู่ใน ป.ป.ช.
3)ซุ้มไฟปีใหม่เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว งบ 39 ล้านบาท
เมื่อเกิดการรัฐประหารคสช.ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 คสช.สั่งปลดผู้ว่า กทม.จากการเลือกตั้ง ด้วยข้อหาพัวพันทุจริตซุ้มไฟปีใหม่มูลค่า39 ล้านบาท แต่กลับไม่ยกเลิกสัญญาจ้างเดินรถของอดีตผู้ว่าฯ คนเดียวกันมูลค่า 1.61 แสนล้านบาท ทั้งที่คสช.มีอำนาจตาม ม.44 ที่จะแก้ไขสิ่งผิดได้ แต่กลับสวมตอเดินเรื่องจะต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวอีก 30 ปี ในราคา 65 บาท ใช่หรือไม่
ดังนั้นเพื่อสร้างเงื่อนไขการต่อสัมปทาน จึงปล่อยให้ผู้ว่าฯ กทม.ที่ตนเองแต่งตั้งขึ้น เปิดการเดินรถในส่วนต่อขยายจนเกิดหนี้สินพอกพูนเพื่อเป็นข้ออ้างหลอกลวงประชาชนชาว กทม.ว่าจำเป็นต้องต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าที่กำลังจะหมดสัมปทานในปี 2572 ไปอีก 30 ปีในราคา 65 บาท ใช่หรือไม่
ทั้งที่ดูจากงบการเงินของบีทีเอสในปี 2562/2563 ต้นทุนการเดินรถทั้งส่วนหลัก และส่วนต่อขยายมีต้นทุนเพียงเที่ยวละ 15.70 บาทเท่านั้น
เมื่อดิฉันประกาศนโยบายไม่ต่อสัมปทาน และให้ค่ารถไฟฟ้าสายสีเขียว 20 บาท คือการประกาศสู้กับการทุจริตเชิงนโยบาย ที่ฝ่ายการเมืองและฝ่ายธุรกิจกำลังรวมหัวกันสร้างเงื่อนไขให้ กทม.ต้องต่อสัมปทานไปอีก 30 ปี ในราคา 65 บาท จึงมีทั้งคอลัมนิสต์สื่อ และอดีตนักการเมืองบางคนออกมาโจมตีดิฉันว่าทำไม่ได้เพื่อให้คนกทม.ไม่เลือกรสนา
จึงมีการใช้วิชามารออกมาโฆษณาชวนเชื่อว่า “เลือกรสนา จะได้ชัชชาติ” ตามหลักพุทธศาสนา ปลูกต้นไม้อะไร ก็ได้ผลไม้อย่างนั้น ปลูกมะม่วง ย่อมได้มะม่วง
“เลือกรสนาเป็นผู้ว่า กทม.ย่อมได้รสนาเป็นผู้ว่าฯ กทม.”
ในทางตรงกันข้าม “ถ้าไม่เลือกรสนา ชัชาติมาแน่” เพราะคนที่จงรักภักดีและยึดมั่นในพระราชดำรัสจะไม่มีวันเทคะแนนให้คนโกงไปปกครองบ้านเมือง อย่างไรก็เสียงแตก มีแต่เลือกรสนาที่ยึดมั่นในพระราโชวาทเท่านั้น จึงจะมีโอกาสชนะชัชชาติได้
ดิฉันขอเรียกร้องให้ผู้ที่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ โปรดเลือกผู้ว่า กทม.ที่ปฏิบัติตาม “ยุทธศาสตร์ส่งเสริมคนดีให้ปกครองบ้านเมือง” เพื่อหักล้าง “ยุทธศาสตร์ ไม่เลือกเรา เขามาแน่” ที่เพียงแต่อ้างว่าจงรักภักดีต่อสถาบันพระประมุข โดยไม่สนใจต่อต้านคนทุจริตในฝ่ายของตัวเอง
ขอให้คน กทม.ที่เคยเลือกดิฉันมา 743,397 คะแนนเมื่อปี 2551 ออกมาแสดงมติต้องการคนดีไปบริหาร กทม.เพื่อหยุดการทุจริตให้สำเร็จ
เมื่อประชาชนมีความเชื่อว่าเราจะสามารถฝ่าฟันวงจรแห่งการทุจริตจากเงินไปสู่อำนาจ และอำนาจไปสู่เงิน ของทั้ง 2 ฝ่าย คือฝ่ายทหาร และฝ่ายการเมือง เมื่อประชาชนเชื่อพร้อมๆกัน ชาว กทม.จะสามารถหักผลโพล และยุทธศาสตร์มายาคติ ไม่เลือกเราเขามาแน่ ได้ เหมือนสมัยลุงจำลอง ศรีมืองที่หักผลโพล การเป็นม้านอกสายตาหรือเป็นแค่สินค้าแบกะดิน จะเอาชนะนักการเมืองที่มีชื่อเสียงได้อย่างไร แต่ชาว กทม.ในรุ่นเบบี้บูมเมอร์ก็เคยทำมาแล้ว
คืนนี้ ดิฉันมายืนอยู่เบื้องใต้พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่ทรงนำทัพคนไทยเพียง 500 คนที่ปรารถนาจะกอบกู้บ้านเมืองเข้าตีเมืองจันทบุรี จนสามารถรวมไพร่พลกอบกู้บ้านเมืองจนสำเร็จ ดิฉันก็มายื่นใบสมัครเป็นผู้ว่ากทม. ไม่ได้มุ่งหวังตำแหน่ง และอำนาจเพื่อตัวเอง แต่เพื่อเป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน เข้าไปเปิดประตูเมือง เพื่อให้น้ำสะอาดเข้าไปชะล้างสิ่งโสมมจากการทุจริตโกงกินภาษีของประชาชน
ดิฉันจะเป็นเครื่องมือที่ดีสุดให้กับชาว กทม.ที่จะต่อสู้เพื่อกอบกู้ กทม.จากการทุจริตไปเป็นเมืองที่มีธรรมาภิบาล เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีถ้วนหน้าของชาว กทม.ทุกคน
ขอให้ผู้จงรักภักดีต่อสถาบันอย่างแท้จริงมาร่วมกอบกู้กรุงเทพฯ ให้ปลอดจากการทุจริตด้วยกัน
ดิฉันขอประกาศเจตจำนงร่วมกับพี่น้องประชาชน กอบกู้กรุงเทพมหานครด้วยกันใน
วันที่ 22 พฤษภาคมนี้ หยิบบัตรสีน้ำตาล เข้าคูหากาเบอร์ 7 เลือกรสนาเป็นผู้ว่าฯ กทม.
รสนา โตสิตระกูล
20 พ.ค 2565
#เลือกรสนากาเบอร์7เป็นผู้ว่ากทม