“ไทยศรีวิไลย์” ลงพื้นที่สกลนคร ประชุมสมาชิกพรรค พร้อมกับเปิดตัว “2 ทนาย-1 ผู้บริหาร ร.ร.เอกชน ลงสู้ศึกเลือกตั้งสมัยหน้า พร้อมชูนโยบายแก้ปัญหา ศก. สร้างความยุติธรรมเท่าเทียม - “มงคลกิตติ์” ชี้ นโยบายมาจากการพบปะประชาชน และได้สัมผัสถึงความทุกข์ยากและความแคลงใจถึงความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรม
วันนี้ (16 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่โรงแรมอิมพีเรียล อ.เมือง จ.สกลนคร พรรคไทยศรีวิไลย์ นำโดย นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ พร้อมด้วย พล.อ.ดร.กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ ประธานที่ปรึกษาพรรค รองหัวหน้าพรรค ได้แก่ พล.ท.อัศวิน รัชฎานนท์ นางสาวภคอร จันทรคณา นายวิวัฒน์ เจริญพาณิชย์ศิริ นายศยุน ชัยปัญญา เลขาธิการพรรค เป็นต้น ได้ร่วมประชุมกับสมาชิกพรรคไทยศรีวิไลย์ทั้ง 18 อำเภอ ของจังหวัดสกลนคร ที่เดินทางมาร่วมประชุมกว่า 270 คน เพื่อรายงานชี้แจงการทำงานของพรรคไทยศรีวิไลย์ตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติงานในสภา รวมถึงการเปลี่ยนแปลงโลโก้พรรคไทยศรีวิไลย์ และนโยบายให้สอดคล้องกับทิศทางทางการเมืองของพรรคไทยศรีวิไลย์ ทั้งนี้ ทางเลขาธิการพรรค ได้ขอเสียงสนับสนุนจากสมาชิกพรรค เพื่อให้ นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ในการเลือกตั้งครั้งหน้า พร้อมกันนี้ ยังได้เปิดตัว 3 ผู้สมัคร ส.ส. ของพรรค ที่จะมาเสนอตัวเป็นผู้แทนให้กับประชาชนชาวสกลนคร 3 คน ได้แก่ นายกฤษณะ ศรีบุญพิมพ์สวย หรือ ทนายกุ้ง ทนายความที่เคยทำงานในกรณีการเสียชีวิตของ น.ส.นิดา พัชรวีระพงษ์ หรือ แตงโม ซึ่งเป็นชาว อ.สว่างแดนดิน โดยคาดว่า จะลงสมัครในเขตเลือกตั้งที่ 4 นายบัญชา สุชญา หรือ ทนายอู๋ ทนายหนุ่มที่มีอุดมการณ์ในการช่วยเหลือประชาชน ลง ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ นายนิรันดร์ ธิมานิตย์ หรือ ครูเบ็น นักการเมืองท้องถิ่น โดยจะลงสมัครในพื้นที่เขตเลือกตั้งที่ 3
โดย นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า วันนี้ตนและคณะกรรมการบริหารพรรค ได้มาประชุมประจำปีรับรองงบดุลประจำปี 2564 และตั้งสาขาพรรคเพิ่มเติมเป็นสาขาที่ 5 และ สรรหาผู้สมัคร ส.ส.จังหวัดสกลนคร ของพรรค ซึ่งจังหวัดสกลนครในปัจจุบันถือว่ามีความเจริญก้าวหน้าไปมาก ทำให้ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป จังหวัดสกลนคร จะมี ส.ส. ได้ทั้งหมด 7 คน ดังนั้น ทางพรรคไทยศรีวิไลย์ จึงได้มีการเตรียมสมาชิกพรรคที่มีอุดมการณ์ มีความสามารถในการทำงานเป็นที่ยอมรับ และเป็นลูกหลานของคนในพื้นที่ ซึ่งจากการสรรหาตามกระบวนการของพรรคนั้น ได้สมาชิกพรรคที่มีศักยภาพทั้งหมด 3 ราย ประกอบด้วย 2 ทนายความ ที่ได้ช่วยเหลือประชาชนทางด้านกฎหมาย ซึ่งทั้ง 2 คนนี้ ยืนยันที่จะร่วมงานกับพรรคไทยศรีวิไลย์ เพื่อจะผลักดันในเรื่องปรับปรุงกฎหมายต่างๆ เกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมเข้าสู่สภา และ 1 นักการเมืองท้องถิ่น-ผู้บริหารโรงเรียนเอกชน ที่ดูแลทุกข์สุขของชาวบ้านมาโดยตลอด ดังนั้น จึงถือโอกาสมาเปิดตัว และประชาสัมพันธ์ให้กับพี่น้องประชาชนชาวสกลนคร ที่มีอุดมการณ์และแนวความคิดสอดคล้องกับพรรค ให้รีบแสดงความจำนงเป็นผู้สมัคร ส.ส. ครบทั้ง 7 เขตเลือกตั้งของจังหวัดสกลนคร เพื่อที่จะได้เป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งสำหรับประชาชนผู้รักประชาธิปไตย และทนไม่ไหวกับสถานการณ์ที่ขณะนี้ข้าวของแพงขึ้นสวนทางกับรายได้ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทางพรรคมีความเชื่อมั่นว่า หากประชาชนให้การต้อนรับและสนับสนุนแนวคิดและนโยบายของพรรคแล้ว ก็คาดว่า น่าจะได้ที่นั่งในจังหวัดสกลนครอย่างน้อย 1 ที่นั่ง
“ทางพรรคไทยศรีวิไลย์ ได้เตรียมนโยบายของพรรคในเรื่องเศรษฐกิจ เพื่อแก้ไขปัญหาของประชาชนในขณะนี้ ที่ข้าวของแพงขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่การแก้ไขปัญหาของรัฐบาลยังชักช้าไม่สามารถแก้ได้อย่างทันท่วงที นั่นก็คือ นโยบายเรื่องการอัดฉีดในระบบเศรษฐกิจ โดยการเพิ่ม GDP 20% ภายใน 1 ปี ก็คือ การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบครัวเรือนทั้งหมด 250,000 บาทต่อครัวเรือน รวมทั้งหมด 13,200,000 ครัวเรือน 66 ล้านคน แต่เงินดังกล่าวไม่เป็นหนี้สาธารณะ เพราะว่าเราให้ผ่อนชำระเดือนละ 5,208 บาท เพื่อให้เอาเงินไปทำธุรกิจส่วนตัว ไปใช้หนี้นอกระบบ หรือเอาไปใช้จ่ายแก้ปัญหาในครอบครัว แต่หมายความว่าในครอบครัวต้องรับผิดชอบด้วยจะได้ไม่เป็นหนี้สูญ” นายมงคลกิตติ์ กล่าว
นายมงคลกิตติ์ กล่าวต่อว่า นโยบายในการหาเงินใต้ดินมาอยู่บนดิน อย่างเช่น การเก็บภาษีหวยใต้ดินให้รัฐรับเองแล้วก็กาสิโนถูกกฎหมาย ทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ พวกนี้เราจะสามารถนำเงินมาใช้หนี้สาธารณะ มาทำสวัสดิการผู้สูงอายุเดือนละ 3,000 บาท และนโยบายเรื่องของกระบวนการยุติธรรม โดยยังมุ่งเน้นของเดิมเมื่อปี 2562 คือ เรื่องปราบโกงปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมและปกป้องคนจน ให้สอดคล้องกับนโยบายใหม่เกี่ยวกับเรื่องการปฏิรูปกระบวนการความเท่าเทียมเกี่ยวกับระหว่างเรื่องสืบสวนสอบสวน กับพิสูจน์หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ให้แยกกัน โดยในสัปดาห์หน้า จะให้ฝ่ายกฎหมายพรรค ยกร่างพระราชบัญญัติแก้ไขการสืบสวนคดีอาญา พ.ศ. .... ซึ่งเดิมทีรัฐบาลจะต้องทำ แต่รัฐบาลยังถ่วงอยู่ไม่ยอมเอาเข้าสภา เราก็จะใช้ ส.ส.ในการเสนอแก้ไขกฎหมาย เช่น สมมติถ้ากรณีที่ตำรวจสืบสวนสอบสวนก็ให้อัยการร่วมด้วย
“ทนายของรัฐตั้งองค์กรหนึ่งให้มีส่วนร่วมในการหาหลักฐานสามารถเปิดช่องกฎหมายให้ภาคประชาชน หรือ Social Media เข้ามามีส่วนช่วยหาหลักฐานพยานได้ ส่วนงานพิสูจน์หลักฐานก็อาจจะต้องแยกไปอยู่กระทรวงยุติธรรม นิติเวชของตำรวจอาจจะไปอยู่กับกระทรวงสาธารณสุข อย่างน้อยก็ได้ปฏิรูปกระบวนการที่ทำให้การต่อสู้กับกระบวนการยุติธรรมเท่าเทียมกันระหว่างคนจนและคนรวย ดังนั้น นโยบายทั้ง 2 ด้านของพรรคนั้น เกิดมาจากการลงพื้นที่ไปพบปะประชาชน และได้สัมผัสถึงความทุกข์อยากที่เกิดจากการที่รัฐบาลไม่สามารถสร้างรายได้ใหม่ๆ เพื่อคลี่คลายปัญหาทางเศรษฐกิจของชาวบ้านที่กำลังประสบอยู่ในขณะนี้ รวมทั้งความยุติธรรมที่ไม่สามารถแก้ปัญหาความแคลงใจของสาธารณะอีกด้วย” นายมงคลกิตติ์ กล่าว