เอาล่ะสิ “เพื่อไทย” เจอกระแสต้านจากกองหนุน ที่ไม่เห็นด้วยกับการเอาอดีตผู้สมัครของพรรคกลับมา ด่ายับ อุ้ม “งูเห่า” ด้าน “กำนันสุเทพ” เดือดจัด ท้า “สมุนแม้ว” ดาหน้ามาเลย พร้อมหนุน “ประยุทธ์” สู้ “ระบอบทักษิณ”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (5 พ.ค. 65) จากกรณี นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เปิดตัว ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.นครราชสีมา และ ส.ส.บุรีรัมย์ ทั้งหมด 9 คน โดยหนึ่งในจำนวนนี้มีชื่อของ นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รวมอยู่ด้วยนั้น
ล่าสุด ในสังคมออนไลน์ กลุ่มที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์พรรคเพื่อไทย อย่างดุเดือด โดยระบุทำนองว่า “เพื่อไทยเอาบุญจงกลับเข้าพรรค อันนี้ถือว่าแย่มากเพราะคนนี้เป็นงูเห่า และไปเป็นกำลังให้ฝ่ายเผด็จการ ไปร่วมรัฐบาลยุคอภิสิทธิ์ที่เคยฆ่าเสื้อแดงกลางเมืองหลวง เลือกตั้งสมัยที่แล้วก็ไปลงเลือกตั้งในนามพรรคพลังประชารัฐ แต่สอบตก คราวนี้พรรคเพื่อไทยเอาคนแบบนี้เข้าพรรคพรรคเพื่อไทย สมควรโดนด่าครับ”
สำหรับ นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ เป็น ส.ส.นครราชสีมา พรรคไทยรักไทย สมัยแรกในปี 2544 และเป็น ส.ส.อีกครั้งในปี 2548 จนกระทั่งเป็น ส.ส.นครราชสีมา พรรคพลังประชาชน ในปี 2550 ก่อนจะสลับขั้วการเมืองร่วมรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำรงตำแหน่ง รมช.มหาดไทย และเป็นรองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย
จากนั้นในปี 2561 นายบุญจง ได้ย้ายมาร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.นครราชสีมา เมื่อปี 2562 แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง (จากไทยโพสต์)
ขณะเดียวกัน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย (มปท.) กล่าวในรายการ “คุยกับลุง” เผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊ก “Suthep Thaugsuban (สุเทพ เทือกสุบรรณ)” ว่า
ช่วงนี้มีการโจมตีตนทางโซเชียลมีเดียค่อนข้างมาก เพราะตนออกมาพูดต่อต้านระบอบทักษิณ ซึ่งก็ไม่ได้ใส่ใจ ไม่ได้เอามาเป็นอารมณ์ แต่จะเดินหน้าทำสิ่งที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน ยืนหยัดที่จะต่อสู้กับระบอบทักษิณ ที่เป็นอันตรายร้ายแรงต่อประเทศ ทำความเสียหาย ความเดือดร้อนให้กับประชาชน มาแล้ว ทั้งการก่อเหตุร้ายโดยคนในระบอบทักษิณ ล้มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน เอากำลังชายชุดดำ มาเข่นฆ่าตำรวจ ทหาร ประชาชน ยิงระเบิดใส่สถานีรถไฟฟ้าสีลม คนเจ็บคนตายรวมทั้งหมด 80-90 คน อย่างนี้ลืมไม่ได้
“การเผาศาลากลาง การเผาอาคารพาณิชย์ เผาโรงหนัง เผาเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ที่เกิดกลาง กทม. การทุจริต คดโกง ปล้นชาติ ปล้นแผ่นดิน ร้ายแรงที่สุดในระบอบทักษิณ นี่ไม่ใช่เรื่องที่มาพูดใส่ร้าย เป็นเรื่องที่พิสูจน์กันมาแล้วในศาล และต่อสู้กันตามกระบวนการยุติธรรม และศาลมีคำพิพากษาทั้งจำทั้งปรับไปแล้ว”
นายสุเทพ กล่าวต่อว่า รัฐมนตรีในระบอบทักษิณ ที่ถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุก เราก็ทราบกันอยู่ดีว่าใครบ้าง และที่อยู่ระหว่างการดำเนินคดีก็มี ส่วนที่หนีคุกก็มี เช่น นายทักษิณ ชินวัตร น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ และ นายประชา มาลีนนท์ อดีต รมช.มหาดไทย ซึ่งรัฐมนตรีในระบอบทักษิณ ถูกจำคุกมากที่สุด เพราะทุจริต คอร์รัปชัน ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ เรียกว่ามากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ตัวการที่เคยดำรงตำแหน่งนายกฯอย่าง นายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็หนีไปเสวยสุขอยู่ต่างประเทศ ปล่อยให้ลูกน้องติดคุกนับสิบคน
“วันนี้ยังแสดงอิทธิฤทธิ์ อิทธิพล ใช้โซเชียลมีเดีย ระดมให้คนต่อต้านรัฐบาลปลุกระดมให้คนรู้สึกเกลียดชังประเทศ ชักใยทั้งบนดินและใต้ดิน ออกมาตีปี๊บ อ้างว่า ประเทศมีปัญหา คนอื่นแก้ไขไม่ได้ต้องเป็นพวกเขาเท่านั้นที่แก้ได้
ผมไม่เชื่อไม่ศรัทธาไม่เอาด้วย ผมยังรู้สึกสยดสยอง กับสิ่งที่ระบอบทักษิณได้ทำไว้กับประเทศไทยในยุคที่พวกเขามีอำนาจ เรียกว่า ทั้งปล้น ทั้งฆ่า ทั้งเผา ทำมาแล้วทั้งนั้น พอได้ยินการโหมโฆษณาชวนเชื่อของคนในระบอบทักษิณ ว่า เขาจะเอาการเลือกตั้งครั้งต่อไปแบบแลนด์สไลด์ กลับมาเป็นรัฐบาลพรรคเดียว มีอำนาจเต็ม คับบ้านคับเมือง เหมือนที่เคยเป็นมาแล้ว ผมรับไม่ได้จริงๆ เมื่อผมแสดงตัวออกมาต่อต้านระบอบทักษิณ ก็เป็นธรรมดาที่สมุนบริวารของระบอบทักษิณ ก็จะออกมาแว้งกัดผมทุกวันไม่เลิก ดาหน้ากันมาเลย ผมไม่ถอย ยินดีที่จะยืนหยัดต่อสู้ต่อไป” นายสุเทพ กล่าว
นายสุเทพ กล่าวต่อว่า ระบอบทักษิณมีสมุนบริวารเป็นพวกที่เห็นแก่ตัวทั้งนั้น เอาประโยชน์ตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมเลย พอพี่น้องประชาชนลืมเรื่องราวชั่วร้ายที่พวกเขาเคยก่อไว้ ก็ออกมาแต่งเรื่องใหม่เล่านิทานใหม่ ขายฝันใหม่ หลอกประชาชนอีก
ตอนนี้ก็กำลังโหมสร้างกระแสเขย่าเก้าอี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม อย่างเอาเป็นเอาตาย ตัวแสดงส่วนใหญ่ก็อยู่ในระบอบทักษิณทั้งนั้น ปฏิบัติการปล่อยข่าวสร้างกระแสใส่ร้าย ทำลายเครดิตทุกวัน เห็นว่า จะอภิปรายไม่ไว้วางใจล้มพล.อ.ประยุทธ์ มีข่าวว่า มีการวิ่งเต้นติดต่อแจกเงิน แจกกล้วย ล้ม พล.อ.ประยุทธ์ ในสภา ซึ่งการอภิปรายของฝ่ายค้าน คนของระบอบทักษิณ ได้ใช้ลีลาโวหาร ใช้ความหยาบคาย อภิปรายโจมตี พล.อ.ประยุทธ์ เนื้อหาสาระไม่มีเท่าไร ตนเคยเป็น ส.ส.ในสภา มาหลายสิบปี เป็นฝ่ายค้านก็อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เป็นรัฐบาลก็อภิปรายสู้กับฝ่ายค้านมาหลายครั้ง แต่ไม่เคยเอาความเท็จมาอภิปรายในสภา เพราะเสียงในสภาไม่สำคัญเท่ากับเสียงประชาชนนอกสภา แพ้ชนะในสภาเป็นเรื่องหนึ่ง แต่แพ้ชนะใจประชาชนสำคัญยิ่งใหญ่กว่า และการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ สู้ได้ ไม่ต้องใช้ลีลาโวหาร เอาความจริงมาพูด พูดตามสไตล์ ผลงานดีๆ มีเยอะ
พูดเรื่องผลงานที่เป็นภาพรวมใหญ่ของประเทศก็ได้ เช่น เรื่อง เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
“การที่ผมออกมาต่อต้านระบอบทักษิณ เพราะผมไม่ต้องการเห็นระบอบทักษิณกลับมามีอำนาจ มาทำร้ายประเทศอีก การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ในคราวนี้ ผมถึงเชียร์ คุณสกลธี ภัททิยกุล เพราะไม่อยากเห็นคนที่เคยรับใช้ หรือเคยได้ประโยชน์จากระบอบทักษิณ เข้ามามีอำนาจใน กทม. ไม่ต้องการให้เขาเข้ามาปูฐานทางการเมืองเพื่อรองรับระบอบทักษิณกลับมา ผมเลือกที่จะเชียร์ สกลธี เพราะเชียร์ได้สนิทใจ สกลธี ไม่ใช่พวกทักษิณ ไม่ใช่คนที่เคยได้รับประโยชน์จากระบอบทักษิณมาก่อน สกลธี ไม่ใช่กากเดนของระบอบทักษิณ และเชื่อมั่นว่า สกลธี จะไม่รับใช้ระบอบทักษิณแน่นอน” นายสุเทพ กล่าว (จากไทยโพสต์)
แน่นอน, เห็นได้ชัดว่า เกมต่อสู้ทางการเมืองช่วงนี้เป็นไปอย่างคึกคัก ทั้งการเคลื่อนไหวของแต่ละพรรคการเมืองในการชิงไหวชิงพริบสรรหาตัวผู้สมัครเอาไว้แต่เนิ่นๆ โดยเฉพาะผู้สมัครที่เป็นอดีต ส.ส.เกรดเอ บี และมีโอกาสที่จะได้รับเลือกตั้งสูง
อย่างกรณี พรรคเพื่อไทย ในมุมมองของพรรค อาจคิดว่า การเมืองไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวร คนที่เคยออกจากพรรคไปแล้ว ก็สามารถกลับเข้ามาใหม่ได้ ถ้าคนๆ นั้น มีโอกาสได้รับเลือกตั้ง หรือฐานเสียงแน่น เพราะความต้องการได้รับเลือกตั้งแบบ “แลนด์สไลด์” เหนือกว่าสิ่งอื่นใดอยู่แล้ว?
แต่นั่นไม่ใช่ แฟนคลับ หรือ กองหนุน ที่อาจคิดต่างจากคนในแวดวงการเมือง “งูเห่า” ก็คือ “งูเห่า” รับไม่ได้ที่จะเอากลับมาเข้าพรรค ด้วยเหตุนี้ เพื่อไทยจึงถูกด่าตามระเบียบ
อีกประเด็นที่น่าสนใจ คือ กรณี “กำนันสุเทพ” ออกมาต่อต้าน “ระบอบทักษิณ” ซึ่งทำท่าว่าจะคืนชีพ เพราะคนไทยบางส่วนเริ่มจะลืมเลือนวีรกรรมที่ระบอบนี้สร้างเอาไว้
ดังนั้น ไม่แปลก ที่ “กำนันสุเทพ” จะขุดเอาขึ้นมาแฉอีกครั้งอย่างดุเดือด และประกาศต่อต้านหัวชนฝา
เมื่อเป็นเช่นนี้ การเลือกตั้งครั้งหน้า จะเป็นไปอย่างดุเดือดเลือดพล่านแค่ไหน ก็ลองคิดดู เพราะจะไม่เพียงการมุ่งเอาชนะเลือกตั้งของแต่ละพรรคการเมืองเท่านั้น หากแต่ยังอาจมีการต่อสู้ในเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อไม่ให้บางพรรคได้รับเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ตามที่คาดหวังด้วย
เหนืออื่นใด อยู่ที่คนไทยจะเป็นผู้ตัดสิน ว่า ต้องการรัฐบาลแบบไหนในการเลือกตั้งครั้งหน้านั่นเอง