เมืองไทย 360 องศา
หูผึ่งขึ้นมาอีกครั้ง กับคำพูดของ “สามสี ภูเขาทอง” หรือ นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี สมาชิกสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถือว่าเป็นนักการเมืองที่คร่ำหวอดมานาน ออกมาปูดข้อมูลให้ฟังว่า มีความพยายามจ่ายและรับเงิน จำนวน 5-30 ล้านบาทต่อคน สำหรับ ส.ส.กลุ่มหนึ่ง เพื่อให้โหวตล้มรัฐบาลในช่วงการยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ หรือ “ญัตติซักฟอก” ที่จะมีขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
แม้ว่านาทีนี้ ยังไม่แน่ชัดว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจดังกล่าวจะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ตาม แต่ก็เชื่อว่า คงอีกไม่นานนัก เนื่องจากเป็น “ไฟต์บังคับ” ของฝ่ายค้าน ที่ไม่ว่าจะมีข้อมูลแน่นหนาหรือไม่ ก็ต้องยื่นอย่างแน่นอน รวมไปถึงยังเป็นช่วงที่กฎหมายสำคัญ อย่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 จะต้องเข้าสภาที่มีการกำหนดวันประชุมในต้นเดือนมิถุนายนเอาไว้แล้ว ก็ล้วนมีผลต่อสถานะ นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลโดยรวม เพราะหากถูกคว่ำในสภา ก็ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีทางเลือกสองทาง ไม่ลาออกก็ต้องยุบสภาเท่านั้น
ขณะเดียวกัน แม้ว่าขณะนี้ยังไม่เห็นหลักฐานการรับจ่ายเงินดังกล่าว ซึ่งหากมีการจ่ายจริงก็คงไม่มีหลักฐาน แต่อาจมีการพูดถึงหนาหูแค่นั้น แต่เมื่อบอกว่า มีการใช้เงินเพื่อโหวตคว่ำรัฐบาล มันก็ย่อมมีน้ำหนักไปทาง “ฝ่ายค้าน” เนื่องจากมีการบอกว่าให้ “โหวตล้มรัฐบาล”
อีกทั้งในช่วงวันสองวันที่ผ่านมา ก็มีความเคลื่อนไหวของฝ่ายค้านบางพรรค มีการหารือกับกลุ่ม ส.ส.จากพรรคเล็ก ที่เรียกว่า “กลุ่ม 16” ดังที่ปรากฏเป็นข่าวกันแล้ว เพียงแต่ว่ายังไม่รู้ว่าจะมีเรื่อง “กล้วยๆ” เข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่ ได้แต่คาดเดาว่าเป็นไปได้แค่ไหน
โดย นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ที่โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า ผมสืบทราบมาว่า มีการต่อรองราคากัน ระหว่าง 5-30 ล้านบาท ต่อคน เพื่อให้ ส.ส.จำนวนหนึ่ง ยกมือในการไม่ไว้วางใจเพื่อล้มรัฐบาลในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า หรืออาจจะกระทำกันก่อนในการพิจารณาไม่ผ่าน พ.ร.บ.งบประมาณแผ่นดิน ของรัฐบาลก็เป็นได้ ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงก็แสดงว่าระบบการเมืองของไทยได้พัฒนามาถึงขั้นเลวร้าย ที่อาจเรียกได้ว่า บัดซบที่สุดแล้วนะครับ
นายไตรรงค์ กล่าวว่า เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร มันก็เริ่มที่วงจรอุบาทว์ของการขายเสียง ขายตัว นั่นแหละครับ คนจนจำนวนมหึมาในไทย (แม้อาจจะไม่ทุกคน) ต่างก็ต้องครุ่นคิดอยู่ทุกวินาทีถึงการหาเงิน ว่า จะมีเงินซื้อข้าวสารกรอกหม้อหุงให้ลูกกินอิ่มท้องในแต่ละวันได้อย่างไร เนื้อสมองของเขาในส่วนที่ช่วยคิดก่อนตัดสินใจ จึงไม่มีพอจะมาคิดถึงเรื่อง “หน้าที่” ในการเลือกคนดี ที่มีทั้งความสามารถและคุณธรรม เพื่อให้เข้าไปดูแลบ้านเมืองในฐานะเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยในสภาผู้แทนราษฎร คนเลวๆ จำนวนหนึ่ง จึงสามารถหลุดรอดเข้ามาเป็น ส.ส. โดยการใช้เงินซื้อเสียงกันเข้ามา แล้วก็มายกมือให้เจ้าของเงิน หรือไม่ก็มาขายตัวให้กับพวกนักการเมืองที่มีเงินมากกว่า เพื่อแลกกับการซื้ออำนาจทางการเมืองของเจ้าของเงิน ผู้ซื้อมักจะอ้างว่าอยากเข้ามาบริหารประเทศให้ดีขึ้น แต่ประวัติศาสตร์ก็ชัดเจนแล้วว่า พวกนี้มีอำนาจทางการเมืองทีไร ก็จะโกงกินบ้านโกงกินเมืองกันทั้งฝูง และทั้งตระกูลกันทุกที
นายไตรรงค์ กล่าวว่า มองในแง่ร้าย ถ้าระบอบประชาธิปไตยแบบของเรา ยังไม่สามารถสกัดกั้นมิให้พวกคนชั่วใช้เงินที่ได้มาอย่างสกปรกในการซื้ออำนาจรัฐในทางการเมืองได้ (โดยเฉพาะถ้าเงื่อนไขในรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญเปิดทางเกื้อหนุนให้ทำได้สะดวก) แล้วเราจะมาเรียกร้องขอประชาธิปไตยที่สมบูรณ์มากกว่านี้กันไปเพื่อใคร เพื่ออะไร เราจะมาเสี่ยงชีวิตทะเลาะเบาะแว้งทุบตีกันเพื่อเรียกร้อง และรักษาไว้ซึ่ง ระบอบที่อ่อนแออย่างนั้นหรือ
นายไตรรงค์ กล่าวว่า ระบอบที่อ่อนแอทั้งทางด้านศีลธรรม และอ่อนแอ ทั้งในทางจริยธรรม เช่นนี้เป็นภัย ถ่วงความเจริญของชาติ เราจะรั้งระบบเช่นนี้กันไปอีกทำไม จงถามใจท่านดูเถิดว่าท่านจะยอมให้ลูกหลานต้องอยู่ภายใต้ระบอบที่ชั่วร้ายนี้ไปอีกนานเท่าใด
“คณะผู้นำของรัฐบาลที่มีแผนงาน คิดการณ์ไกลต้องการให้ชาติไทยรุ่งเรือง ให้ผ่านพ้นวิกฤตการณ์ให้ได้ในอนาคต จึงจำเป็นต้องจับมือกันไว้ให้มั่นคง อย่าหลงไปสนใจได้ปลื้มกับน้ำลายของพวกอ้ายคนชั่ว ขี้โกงทั้งหลาย วิญญูชนทั่วไปย่อมรู้ดีว่าคนไหนดี คนไหนชั่ว ถ้าคณะผู้นำไม่ยืนหยัดสามัคคีกัน ปล่อยให้กิเลสฝ่ายต่ำเข้าครอบงำจิตใจจนไถลเสียจุดยืนที่ชอบธรรม ประเทศก็อาจจะต้องกลับไปประสบกับความฉิบหาย และวุ่นวายอย่างที่เคยเกิดขึ้นในระหว่าง พ.ศ.2544-2557 อีกก็ได้”
นายไตรรงค์ กล่าวว่า คนรุ่นใหม่ไฟแรงที่มีอุดมการณ์ ไม่ลองร่วมมือกับพวกคนรุ่นกลางดูละครับ ถึงแม้พวกเขาจะไม่ขาวมากนัก (ซึ่งในการทำงานการเมือง คนที่เป็นขาวล้วนนั้นไม่เคยมีอยู่แล้ว) แต่เป็นแค่เทาอ่อนๆ ที่มีประสบการณ์ มีทฤษฎี และยังมีความมุ่งมั่นที่จะทำดี ยังมีตัวตนสอดแทรกอยู่ในพรรคการเมืองต่างๆ ทั้งที่เป็นพรรคที่เกิดขึ้นใหม่และในพรรคการเมืองที่ทั้งใหญ่ และเก่าแก่ คนรุ่นกลางจำนวนไม่น้อยนะครับ ที่พร้อมจะสลัดตัวออกมาจากการถูกครอบงำโดยอิทธิพลอันเก่าคร่ำครึ เขาก็เบื่อกับการแสวงหาผลประโยชน์ของกลุ่มผู้นำพรรคเพียงหยิบมือเช่นกันครับ
“จงอย่าหันหลังให้กัน ไม่ลองลดทิฐิมานะ นั่งจับเข่าคุย กันเพื่อหาแนวทางที่พอจะรับกันได้โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการแสวงหาระบอบการเมืองและกฎเกณฑ์ที่พอจะป้องกันการซื้ออำนาจทางการเมืองของคนชั่วคนเลวด้วยเงินที่สกปรกให้ได้ ให้มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน คนอย่างผมคงไม่มีกำลังพอ และคงไม่มีปัญญาพอที่จะคิดออก แม้ยังไม่หมดความหวังและความพยายามแต่ก็อ่อนกำลังเต็มทน ช่วยกันหน่อยเถิดครับ ถือว่าช่วยทำบุญให้แก่ประเทศที่เราเป็นหนี้บุญคุณ ต้องช่วยกันทำอะไรๆให้ดีที่สุด ก่อนที่เราจะตายจากประเทศนี้ไปนะครับ”
นายไตรรงค์ กล่าวว่า อย่าให้ต่างชาติเขามาแอบนินทาว่าเรามีคนตั้ง 67 ล้านคน แต่ไม่มีใครมีปัญญาพอ จนต้องรอพึ่งปืน มาแก้ปัญหาการซื้อเสียงด้วยกล้วย 5-30 ล้านบาท เพื่อป้องกันมิให้บ้านเมืองเละไม่มีดีจากฝีมือของนักการเมือง (เฉพาะที่ชั่วและเลว) อย่างที่เคยเป็นมา ถ้ายังเป็นอย่างนี้ เรื่องที่ไม่ควรจะต้องเกิด อาจจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ ก็เป็นได้ครับ
อย่างไรก็ดี หากพิจารณากันอีกมุมหนึ่งคำพูดดังกล่าวของ นายไตรรงค์ มันก็เหมือนกับเป็นการ “ดักคอ” เอาไว้ล่วงหน้า เนื่องจากได้เห็นสัญญาณความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ และรับรู้ด้วยประสบการณ์ทางการเมืองอันยาวนานของตัวเอง โดยเฉพาะเมื่อกำลังจะมีวาระสำคัญในสภา และรับรู้กันอยู่ ว่า ตัวนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลกำลังอยู่ในความเสี่ยง ก็ย่อมมีการต่อรองหาประโยชน์กันอย่างเข้มข้นทุกครั้ง เหมือนกับคราวนี้ที่เป็นการเคลื่อนไหวของ นักการเมืองบางคนที่มีลักษณะ “เสือหิว” เมื่อพิจารณาจากประวัติ แบ็กกราวนด์ มันก็อาจเป็นไปได้เหมือนกัน เพราะหากมองกันตามสถานการณ์ก็ต้องบอกว่านี่คือช่วง “นาทีทอง” ของพวกเขา
แต่เมื่อบอกว่า เป็นการจ่ายเพื่อ “จ้างล้ม” ความหมายก็น่าจากฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล หรือตรงข้าม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งอาจจะเป็นฝ่ายค้าน หรือกลุ่มการเมืองบางกลุ่มที่ไม่พอใจนายกรัฐมนตรี รวมไปถึง “บางคน” ที่แอบหวังเก้าอี้นายกฯ “ส้มหล่น” หากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองขึ้นมาจริงๆ
ขณะเดียวกัน ก็ยังไม่เห็นข่าวที่มาจากฝ่ายรัฐบาลในเรื่องการ “แจกกล้วย” เพื่อแลกกับการโหวตหนุน ซึ่งจะมีหรือไม่มี ยังไม่รู้เพราะยังไม่รับรู้การเคลื่อนไหว แต่เมื่อฟังคำยืนยันจากปากของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ที่ย้ำว่า ไม่มี และไม่มีความจำเป็นต้องจ่ายเงินมากขนาดนั้น เพราะในความเป็นจริงแล้ว รัฐบาลเหลือเวลาอีกไม่กี่เดือน ก็จะครบวาระ
ดังนั้น หากพิจารณาจากความเคลื่อนไหวเท่าที่เห็น แม้ว่ายังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ามีการ “แจกกล้วย” ซึ่งอาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ มีความเป็นได้เท่าๆ กัน แต่คำพูดของ นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี มองในมุม “ดักคอ” เนื่องจากเห็นสัญญาณบางอย่างที่ผิดปกติ แต่ขณะเดียวกัน เมื่อใช้คำว่า “จ้างล้มรัฐบาล” ความหมายก็น่าจะเป็นฝีมือของฝ่ายตรงข้ามมากกว่า และถ้าเกิดขึ้นจริง มันก็คงปิดไม่มิด แม้จะไม่มีใบเสร็จให้เห็นก็ตาม !!