จริงหรือไม่? “ไตรรงค์” ได้กลิ่น ส.ส.ต่อรองขายตัว 5-30 ล. ถ้าจริง ถือว่าการเมืองเข้าขั้น “บัดซบ” แนะ “คนรุ่นใหม่-กลาง” ลดทิฐิ ร่วมสกัดคนชั่วซื้ออำนาจ “โอ๊ค-พี่อ้วน” ซัด “มาร์ค” หาเพื่อไทยก้าวไม่พ้นตระกูลชินวัตร
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (2 พ.ค. 65) ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟชบุ๊ก เรื่อง “ปืนVSกล้วย” ระบุว่า
“#คำนำ ผมได้ฟังคุณหมู (นายวัชระ) เล่าเรื่อง #ตำนานลิง ที่เคยเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1025 ว่าด้วยการใช้เงิน (ในตำนานลิงที่ว่า เงินก็คือการใช้กล้วย) ซื้อเสียง ส.ส. เพื่อล้มหัวหน้าลิง (ที่ตงฉิน) ซึ่งเป็นเรื่องเล่าทางทีวีช่องเนชั่น (Nation) ช่อง 22 เมื่อคืนวันที่ 30 เมษายน 2565 เพื่อเป็นการเปรียบเปรยกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในวงการการเมืองของประเทศไทยในปัจจุบัน
...เผอิญเรื่องตำนานลิงดังกล่าว เกิดตรงและใกล้เคียงกับสิ่งที่ผมสืบทราบมาว่า มีการต่อรองราคากันระหว่าง 5-30 ล้านบาทต่อคน เพื่อให้ ส.ส.จำนวนหนึ่งยกมือในการไม่ไว้วางใจเพื่อล้มรัฐบาลในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า หรืออาจจะกระทำกันก่อนในการพิจารณาไม่ผ่าน พ.ร.บ. งบประมาณแผ่นดินของรัฐบาลก็เป็นได้
...ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ก็แสดงว่า ระบบการเมืองของไทยได้พัฒนามาถึงขั้นเลวร้าย ที่อาจเรียกได้ว่า #บัดซบที่สุด แล้วนะครับ
#เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร… มันก็เริ่มที่วงจรอุบาทว์ของการขายเสียง ขายตัว นั่นแหละครับ
คนจนจำนวนมหึมาในไทย (แม้อาจจะไม่ทุกคน) ต่างก็ต้อง #ครุ่นคิดอยู่ทุกวินาทีถึงการหาเงิน ว่าจะมีซื้อข้าวสารกรอกหม้อหุงให้ลูกกินอิ่มท้องในแต่ละวันได้อย่างไร เนื้อสมองของเขาในส่วนที่ช่วยคิดก่อนตัดสินใจ จึงไม่มีพอจะมาคิดถึงเรื่อง “หน้าที่” ในการเลือกคนดีที่มีทั้งความสามารถและคุณธรรมเพื่อให้เข้าไปดูแลบ้านเมืองในฐานะเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยในสภาผู้แทนราษฎร คนเลวๆ จำนวนหนึ่งจึงสามารถหลุดรอดเข้ามาเป็น ส.ส. โดยการใช้เงินซื้อเสียงกันเข้ามาแล้วก็มายกมือให้เจ้าของเงิน หรือไม่ก็มาขายตัวให้กับพวกนักการเมืองที่มีเงินมากกว่า เพื่อแลกกับการซื้ออำนาจทางการเมืองของเจ้าของเงิน ผู้ซื้อมักจะอ้างว่าอยากเข้ามาบริหารประเทศให้ดีขึ้น แต่ประวัติศาสตร์ก็ชัดเจนแล้วว่าพวกนี้มีอำนาจทางการเมืองทีไร ก็จะโกงกินบ้านโกงกินเมืองกันทั้งฝูงและทั้งตระกูลกันทุกที
มองในแง่ร้าย ถ้าระบอบประชาธิปไตยแบบของเรา ยังไม่สามารถสกัดกั้นมิให้พวกคนชั่วใช้เงินที่ได้มาอย่างสกปรกในการซื้ออำนาจรัฐในทางการเมืองได้ (โดยเฉพาะถ้าเงื่อนไขในรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญเปิดทางเกื้อหนุนให้ทำได้สะดวก) แล้วเราจะมาเรียกร้องขอประชาธิปไตยที่สมบูรณ์มากกว่านี้กันไปเพื่อใคร เพื่ออะไร เราจะมาเสี่ยงชีวิตทะเลาะเบาะแว้งทุบตีกันเพื่อเรียกร้องและรักษาไว้ซึ่ง #ระบอบที่อ่อนแอ อย่างนั้นหรือ
ระบอบที่อ่อนแอทั้งทางด้านศีลธรรม และอ่อนแอทั้งในทางจริยธรรม เช่นนี้เป็นภัยถ่วงความเจริญของชาติ เราจะรั้งระบบเช่นนี้กันไปอีกทำไม จงถามใจท่านดูเถิดว่า ท่านจะยอมให้ลูกหลานต้องอยู่ภายใต้ระบอบที่ชั่วร้ายนี้ไปอีกนานเท่าใด
#คณะผู้นำของรัฐบาลที่มีแผนงาน คิดการณ์ไกลต้องการให้ชาติไทยรุ่งเรือง ให้ผ่านพ้นวิกฤตการณ์ให้ได้ในอนาคต จึงจำเป็นต้องจับมือกันไว้ให้มั่นคง อย่าหลงไปสนใจได้ปลื้มกับน้ำลายของพวกอ้ายคนชั่วขี้โกงทั้งหลาย วิญญูชนทั่วไปย่อมรู้ดีว่า คนไหนดีคนไหนชั่ว ถ้าคณะผู้นำไม่ยืนหยัดสามัคคีกัน ปล่อยให้กิเลสฝ่ายต่ำเข้าครอบงำจิตใจจนไถลเสียจุดยืนที่ชอบธรรม ประเทศก็อาจจะต้องกลับไปประสบกับความฉิบหาย และวุ่นวายอย่างที่เคยเกิดขึ้นในระหว่าง พ.ศ. 2544-2557 อีกก็ได้
#คนรุ่นใหม่ไฟแรงที่มีอุดมการณ์ ไม่ลองร่วมมือกับพวกคนรุ่นกลางดูละครับ ถึงแม้พวกเขาจะไม่ขาวมากนัก (ซึ่งในการทำงานการเมือง คนที่เป็นขาวล้วนนั้นไม่เคยมีอยู่แล้ว) แต่เป็นแค่เทาอ่อนๆ ที่มีประสบการณ์ มีทฤษฎี และยังมีความมุ่งมั่นที่จะทำดี ยังมีตัวตนสอดแทรกอยู่ในพรรคการเมืองต่างๆ ทั้งที่เป็นพรรคที่เกิดขึ้นใหม่และในพรรคการเมืองที่ทั้งใหญ่และเก่าแก่ คนรุ่นกลางจำนวนไม่น้อยนะครับ ที่พร้อมจะสลัดตัวออกมาจากการถูกครอบงำโดยอิทธิพลอันเก่าคร่ำครึ เขาก็เบื่อกับการแสวงหาผลประโยชน์ของกลุ่มผู้นำพรรคเพียงหยิบมือเช่นกันครับ
จง #อย่าหันหลังให้กัน ไม่ลอง #ลดทิฐิมานะ #นั่งจับเข่าคุย กันเพื่อหาแนวทางที่พอจะรับกันได้โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการแสวงหาระบอบการเมืองและกฎเกณฑ์ที่พอจะป้องกันการซื้ออำนาจทางการเมืองของคนชั่วคนเลวด้วยเงินที่สกปรกให้ได้ ให้มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
คนอย่างผมคงไม่มีกำลังพอและคงไม่มีปัญญาพอที่จะคิดออก แม้ยังไม่หมดความหวังและความพยายามแต่ก็อ่อนกำลังเต็มทน ช่วยกันหน่อยเถิดครับถือว่าช่วยทำบุญให้แก่ประเทศที่เราเป็นหนี้บุญคุณ ต้องช่วยกันทำอะไรๆ ให้ดีที่สุด ก่อนที่เราจะตายจากประเทศนี้ไปนะครับ
อย่าให้ต่างชาติเขามาแอบนินทาว่า เรามีคนตั้ง 67 ล้านคน แต่ไม่มีใครมีปัญญาพอ จนต้องรอพึ่ง #ปืน มาแก้ปัญหาการซื้อเสียงด้วย #กล้วย 5-30 ล้านบาท เพื่อป้องกันมิให้บ้านเมืองเละไม่มีดีจากฝีมือของนักการเมือง (เฉพาะที่ชั่วและเลว) อย่างที่เคยเป็นมา... ถ้ายังเป็นอย่างนี้ เรื่องที่ไม่ควรจะต้องเกิด อาจจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ก็เป็นได้ครับ
ผมขอเรียนว่า ความเห็นที่ลงในเฟซบุ๊ก เป็น #ความเห็นส่วนตัวไม่เกี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์แต่อย่างใด”
ขณะเดียวกัน จากกรณี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือ “มาร์ค” อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาวิจารณ์พรรคเพื่อไทย ก้าวไม่พ้นจากครอบครัวชินวัตรนั้น
นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ตอบโต้ ว่า
“อยากจะ PR ตัวเอง เพื่อกลับมากอบกู้พรรคฯ จากเรื่องหื่น เรื่องฉาว ของรองหัวหน้าฯก็ทำไป อย่ามาใช้คนอื่นเป็นเครื่องมือ เลยครับ”
ทั้งนี้ วานนี้ (1 พ.ค.) นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ช่องยูทูบสภาที่ 3 ถึงกรณีที่หลายคนไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร แต่มีการมองท่าทีของ คุณทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ชู น.ส.แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาว ขึ้นมาแล้วหวังว่าจะเกิดแลนด์สไลด์ ถ้าพรรคเพื่อไทยมาในลักษณะนี้ น.ส.แพทองธาร มาจะเอานายทักษิณกลับบ้าน ก็อาจจะมีการรัฐประหารเกิดใหม่อีกรอบ ว่า ต้องยอมรับว่าความกังวลตรงนี้มีแน่นอน เพราะเกิดความรู้สึกว่า ในที่สุด พรรคเพื่อไทย ก็ยังก้าวไม่พ้นครอบครัวชินวัตร
ทั้งนี้ สมมติว่า พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง คนในครอบครัวมาดำรงตำแหน่งอีก ลำพังตรงนั้นก็ไม่เป็นไร ถ้าประชาชนเลือก เพียงแต่ว่าอย่าย้อนกลับไปสู่พฤติกรรมหรือการกระทำที่เป็นลักษณะของการเอื้อประโยชน์ ให้ครอบครัว ให้พวกพ้อง หรือไปทำอะไรที่ฝืนกับหลักธรรมาภิบาล หลักกฎหมาย ซึ่งอาจจะรวมไปถึงแนวคิดเรื่องการนิรโทษกรรม
“เพราะฉะนั้น ไม่ได้อยู่ที่ตัวบุคคล ถ้าตัวบุคคลนั้นผ่านการเลือกตั้ง ชนะการเลือกตั้งมาเราก็ต้องยอมรับ แต่ปัญหาคือทำอย่างไร ซึ่งตนพูดเสมอว่า การได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งมา เป็นความยินยอมพร้อมใจของประชาชนให้เข้ามาผลักดัน นโยบาย หรือทำงานให้กับประเทศชาติ แต่ไม่ใช่ใบอนุญาตให้เข้ามาทำอะไรก็ได้ โดยเฉพาะถ้าเป็นเรื่องที่ขัดต่อหลักของกฎหมาย”...(จากไทยโพสต์)
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ได้เขียนข้อความลงทวิตเตอร์ตอบโต้ นายอภิสิทธิ์ กรณีบอกว่า พรรคเพื่อไทยยังก้าวไม่พ้นตระกูลชินวัตร และหากชนะเลือกตั้งเป็นรัฐบาลอาจเจอรัฐประหารอีกว่า
แปลกใจ เห็นข่าวอดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ แห่งประชาธิปัตย์ แสดงความห่วงใย เพื่อไทยว่า ก้าวไม่ข้ามชินวัตร เกรง รัฐประหารจะเกิดซ้ำ อย่ากังวลเลย ห่วงและปัดกวาดพรรคท่านก่อนเถิด ปัญหารองหัวหน้าถูกกล่าวหาฉาวโฉ่ยังไม่จบ และยังเรื่องที่พรรคท่าน เป็นจำเลยชักนำเกิดรัฐประหารจนประเทศแย่ยังไม่เคลียร์ (จากไทยโพสต์)
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ กระแสการเมืองที่เป็นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นกระแส “ล้มรัฐบาล” จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายบุคคลของรัฐบาล จากการไม่ผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 กระแสเคลื่อนไหวอย่างคึกคักของแต่ละพรรคการเมือง ทั้งรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.และ ส.ก. และเตรียมความพร้อมเพื่อเลือกตั้งทั่วไปสมัยหน้า
แต่ที่ทำให้ภาพรวมการเมือง ย่ำแย่อยู่ในเวลานี้ ก็เห็นจะเป็น กระแส “ล้มรัฐบาล” ด้วยการซื้อ ส.ส. ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และกรณีไม่ผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 เพราะทั้งสองเรื่องมีโอกาสที่รัฐบาลจะเพลี่ยงพล้ำได้ หาก ส.ส.บางส่วนที่เคยหนุนรัฐบาล หันไปเทคะแนนโหวตให้ฝ่ายค้าน และนี่คือ ที่มาของการได้กลิ่นต่อรอง “ซื้อเสียง ส.ส.” คนละ 5-30 ล้านบาท ของ ดร.ไตรรงค์ จริงหรือไม่ หรือเป็นแค่ข่าวปล่อย คนที่ทำเรื่องนี้ย่อมรู้อยู่แก่ใจดี
แต่เรื่องทำนองนี้ มีการกล่าวหากันมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่เป็นมุมของพรรคฝ่ายค้าน โจมตีรัฐบาลแทบทุกครั้งที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ และแม้แต่กล่าวหา พล.อ.ประยุทธ์ ก็เคยมี
แต่คราวนี้ ต้องการ “ล้มรัฐบาล” ก็ลองคิดดูว่า เงินซื้อ ส.ส.หรือ “กล้วย” จะมาจากไหน? ถ้าเป็นเรื่องจริง
และถ้าเป็นเรื่องจริง ก็นับว่าน่าเศร้าใจกับการเมืองไทย ที่ไม่ว่าจะเรียกร้องในระบอบการปกครองดีสมบูรณ์แบบแค่ไหน คนที่เข้าสู่การเมือง ก็ยังเข้ามาเพื่อหวังผลประโยชน์ต่อตัวเองและพวกพ้อง บารมีน้อยหน่อยก็หวังถอนทุนที่ใช้ในการเลือกตั้งคืน บารมีมากหน่อย ก็เผื่อแผ่ถึงญาติพี่น้อง บารมีล้นเหลือ ก็เกื้อหนุนจุนเจือพวกพ้อง บริวารว่านเครือ สั่งสมบารมีทางการเมือง เพื่อแสวงอำนาจไม่รู้จบ
ยิ่งกว่านั้น อีกอย่างที่สะท้อนให้เห็น ก็คือ ความ “ล้มเหลว” ในการซื้อสิทธิขายเสียงเลือกตั้ง เพราะการวัดกันที่ผล “แพ้-ชนะ” เลือกตั้งอย่างเดียว เพื่อชิง “อำนาจรัฐ” ของการเมืองไทย สุดท้าย การซื้อสิทธิขายเสียง กลายเป็นตัวตัดสิน ที่นับวันจะกลายเป็นเรื่องเคยชินไปเสียแล้ว
ใครไม่ซื้อเสียงกลายเป็นผู้สมัครส่วนน้อยที่แทบไม่มีอะไรดีในสายตาชาวบ้าน เช่น ถูกมองว่า ขี้เหนียว ใจแคบ ไม่ยอมลงทุน เงินไม่มากาไม่เป็น นี่คือ ค่านิยมที่หัวคะแนนไปสร้างเอาไว้
ดังนั้น ผู้แทนที่ได้เข้าสภาจึงเป็นส่วนน้อยที่ได้มาจากผลงานและความนิยมอย่างแท้จริง ยิ่งกว่านั้นส.ส.บางคนที่ได้เข้ามายังไม่มีอุดมการณ์อะไรเลย และไม่แปลกที่จะยอมขายตัวและต่อรองเอาเงินก้อนโตเมื่อมีโอกาส?
ดังนั้น คำถามที่ถามกันมาตลอด ก็คือ ตกลงปัญหา “การเมืองไทย” อยู่ตรงไหน อยู่ที่โครงสร้างอำนาจ ระบอบการปกครอง หรือ ว่า “นักการเมือง” เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว กอบโกยเพื่อตัวเองและพวกพ้อง กันแน่ หรือทั้งหมด เชื่อว่าหลายคนรู้แก่ใจดีอยู่แล้ว!?