xs
xsm
sm
md
lg

ประชาธิปัตย์หวั่นพรรคพัง ล็อบบี้สุดฤทธิ์ ไม่ให้กรรมการบริหารพรรคลาออกต่อกรณี “ปริญญ์” **ฮือฮา “รสนา” เปิดชื่อคณะที่ปรึกษา “หมอเดชา-พิภพ-อดีตอธิการ ม.ศิลปากร-ม.ล.กร” นำทัพ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว

** ประชาธิปัตย์หวั่นพรรคพัง ล็อบบี้สุดฤทธิ์ ไม่ให้กรรมการบริหารพรรคลาออกต่อกรณี “ปริญญ์”

กรณี “ปริญญ์ พานิชภักดิ์” อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ถูกดำเนินคดีล่วงละเมิดทางเพศ กำลังถูกกระแสสังคมกดดันอย่างหนักไปถึงพรรค และคณะกรรมการบริหารพรรค ว่า จะแสดงความรับผิดชอบ แค่ไหน อย่างไร

โดยเฉพาะหลังจาก “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” แถลงข่าวลาออกจากตำแหน่ง ประธานคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ และ คณะกรรมการยุทธศาสตร์และนโยบายสตรีแห่งชาติ... ไม่ใช่ลาออกจากการเป็น “หัวหน้าพรรค” ยิ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์หนัก แต่เป็นไปในเชิงผิดหวัง แกม “ขำขัน” เสียมากกว่า

“จุรินทร์” บอกว่า ถ้าตนเองลาออกจากหัวหน้าพรรค ก็จะเป็นการทิ้งปัญหา เป็นการไม่รับผิดชอบ ... “เมื่อเกิดปัญหาขึ้นและเกิดในยุคเรา ก็ต้องเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องเข้าไปแก้ไขให้เสร็จสิ้นลุล่วง ไม่ปล่อยปัญหาทิ้งไว้ให้คนรุ่นต่อไป หรือคนอื่นต้องรับผิดชอบ”

คนนอกฟังแล้วอาจจะไม่รู้สึกกระไรนัก แต่คนในพรรคที่ รู้ไส้ รู้พุง ต่างบอกว่าปัญหาที่เกิดนั้น “ไม่ใช่เกิดในยุคเรา” แต่เกิดเพราะ “จุรินทร์” ที่เป็นคนล็อกสเปก ผลักดันให้ “ปริญญ์” เข้ามารับตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค ดูแลด้านเศรษฐกิจ แบบที่ต้องยกเว้นข้อบังคับพรรค ดังนั้น “จุรินทร์” ต้องรับผิดชอบ!!... ต้องลาออกจากหัวหน้าพรรค ไม่ใช่ลาออกจากคณะกรรมการสองคณะ อะไรนั่น

อย่างไรก็ตาม จากเรื่องนี้มีผู้ที่รับไม่ได้ และลาออกแล้ว คือ “วิทยา แก้วภราดัย” เป็นการลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เลยทีเดียว และล่าสุด วานนี้ (25 เม.ย.) “กนก วงษ์ตระหง่าน” ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ลาออกจาก “รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์” เพื่อแสดงความรับผิดชอบ และเป็นการ “กดดัน” คณะกรรมการบริหารพรรคในส่วนที่เหลือด้วย

มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข
นอกจากนี้ “มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข” ก็ได้ยื่นลาออกจากการเป็น กรรมการบริหารพรรค โดยไม่ได้ระบุเหตุผลของการลาออก แต่ก็เป็นที่รู้กันว่า เนื่องจากปัญหาการตอบโต้ในกลุ่มไลน์พรรค ที่ “มัลลิกา” โพสต์พาดพิงกรรมการ และสมาชิกพรรคคนอื่น จนถูกตั้งกรรมการสอบ… ไม่ใช่ลาออกเพื่อกดดัน “จุรินทร์” เพราะ “มัลลิกา” ยังเป็นปรึกษา รมว.พาณิชย์ อยู่

ข้อความที่ “มัลลิกา” โพสต์ในไลน์กลุ่มของพรรค เป็นการปกป้อง “จุรินทร์” ขณะเดียวกัน ก็ไปพาดพิงสมาชิกพรรคคนอื่น ...“พฤติกรรมของคนหนึ่งคน ควรถูกสอบจริยธรรมทั้งกรรมการบริหารพรรค รึ ? แปลว่าอยากอะไร ? อยากเปลี่ยนหัวหน้าพรรค ? อยากเปลี่ยนกรรมการบริหารพรรค หรืออยากอะไร ?

...เรื่องของ “ปริญญ์” ยังไม่รู้เลยว่าผิด ถูก เป็นอย่างไร แต่ถ้าเทียบกัน !! เรื่องที่คนรู้กันทั้งพรรคว่า คนๆ หนึ่ง เป็น “ชู้” ของเมียคนอื่นมานานนม !! แบบนี้ ต้องสอบจริยธรรมไหม... หรือ พวกที่ทำให้คนอื่นเข้าใจว่าเป็นกิ๊ก ของผัวคนอื่น หรือพวกที่เอาเสื้อไปแขวนไว้บนรถของผัวคนอื่น เพื่อไปงานด้วยกัน หรือให้ผัวคนอื่นขับรถไปรับถึงบ้านตนเอง แบบนี้ เรียกว่าต้องสอบจริยธรรมไหม? หรือ คนบางคน เป็น “ชู้” ของผัวคนอื่นมานาน จนถึงขั้นสุด รู้กันทั้งบาง... มาวันหนึ่ง เปลี่ยนทางจากผัวของอีกคน มาเป็นผัวของอีกคน แล้วคนๆ นั้น เป็น ส.ส. ในสภาด้วย แบบนี้เราต้องสอบจริยธรรมไหม ??

 รัชดา ธนาดิเรก
ข้อความดังกล่าวที่ “มัลลิกา”โพสต์ ถูกหยิบยกขึ้นหารือในที่ประชุมพรรค ว่า ต้องมีการสอบสวนว่าเรื่องดังกล่าวจริงเท็จอย่างไร เพราะถือว่ามีความเสียหายต่อสมาชิกพรรค... นี่จึงเป็นที่มาของการลาออกจากกรรมการบริหารพรรค ของ “มัลลิกา”

นอกจากนี้ ยังมีความเคลื่อนไหวของ “7 กรรมการบริหารพรรคที่เป็นหญิง” โดย “รัชดา ธนาดิเรก” กรรมการบริหารพรรคได้แจ้งในไลน์กลุ่มสื่อมวลชน ปชป. ว่า จะมีการแถลงข่าวที่พรรคประชาธิปัตย์ ในเวลา 13.30 น. (25 เม.ย.) ท่ามกลางกระแสจะมี กก.บห.หญิง 7 คน ลาออกจากตำแหน่ง กก.บห. แต่ปรากฏว่า การแถลงข่าวล่าช้ากว่ากำหนดไปหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ...และเมื่อถึงเวลาก็ไม่ได้มีการแถลงลาออกแต่อย่างใด

กรรมการบริหารพรรค 7 คน ดังกล่าว คือ น.ส.รัชดา ธนาดิเรก, นางเจิมมาศ จึงเลิศศิริ, น.ส.ผ่องศรี ธาราภูมิ, นางศรีสมร รัศมีฤกษ์เศรษฐ์, น.ส.สุพัชรี ธรรมเพชร, น.ส.พิมพ์รพี พันธุ์วิชาติกุล และ น.ส.อรอนงค์ กาญจนชูศักดิ์

“เราไม่อยากให้สังคมเข้าใจว่าพรรคแตกแยก ดังนั้น พวกเราทั้ง 7 คน จะมุ่งมั่นทำหน้าที่ในฐานะสมาชิกพรรคต่อไป ส่วนตำแหน่ง กก.บห.นั้น เราจะรับผิดชอบในส่วนที่เราทำได้ หากมีการตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง จะแจ้งให้ทราบอีกครั้งในเวลาเหมาะสม วันนี้ไม่อยากให้สังคมเข้าใจว่าใครๆ ก็เดินออกจากประชาธิปัตย์” น.ส.รัชดา กล่าว

 เจิมมาศ จึงเลิศศิริ
ส่วนที่มาแถลงข่าวล่าช้ากว่าเวลาที่กำหนดไว้ เนื่องจากมีผู้บริหารพรรคยับยั้งไว้ หรือไม่นั้น “ผ่องศรี” กล่าวว่า พวกเรามีวุฒิภาวะ และมีความคิด มีเหตุผลเป็นของตัวเอง !!

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ “อรอนงค์ กาญจนชูศักดิ์” หนึ่งใน กก.บห. บอกว่า ตนเองได้เขียนใบลาออกจากการเป็น กก.บห. พรรค โดยมอบไว้ให้กับเพื่อน กก.บห. กลุ่มผู้หญิงที่มาแถลงข่าว เพราะส่วนตัวมีความคิดที่จะลาออกจาก กก.บห. ตั้งแต่ที่มีข่าวฉาวโยงถึงอดีตรองหัวหน้าพรรคในช่วงต้นๆ อย่างน้อยเป็นจิตสำนึกของความเป็นผู้หญิง ที่เราต่อสู้กับเรื่องสิทธิสตรี และความเท่าเทียมทางเพศมาตลอด แต่ที่ยังไม่ยื่นลาออกเพราะเกรงว่าจะกระทบต่อสนามเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. และเพื่อนๆ ผู้สมัคร ส.ก. หรือไม่ ดังนั้น ส่วนตัวจึงคิดว่าจะยื่นใบลาออกจากการเป็น กก.บห. หลังวันที่ 22 พ.ค. 65 จึงคิดว่าจะรอให้การเลือกตั้งผ่านไปก่อน

กระทั่งมีเพื่อน กก.บห. กลุ่มผู้หญิงมาคุย และเห็นตรงกันว่า ควรต้องออกมาแสดงรับผิดชอบต่อสังคมร่วมกัน เพราะท่าทีของผู้บริหารพรรคค่อนข้างล่าช้า ไม่ทันต่อสถานการณ์ข่าวที่ออกไป ซึ่งมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของพรรคโดยรวม จึงได้เขียนใบลาออกจากการเป็น กก.บห.พรรค ฝากให้กลุ่มเพื่อนที่มาแถลงข่าว แต่ไม่เข้าใจว่า เหตุใดจึงไม่แถลงเปิดเผยถึงการลาออกของตน ที่แสดงเจตจำนงในเรื่องนี้ ที่ชัดเจนไปแล้ว ส่วนที่ตนไม่ได้มาร่วมแถลงข่าวด้วย เพราะลงพื้นที่ช่วยรณรงค์หาเสียงให้เพื่อน ส.ก.และผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.

อรอนงค์ กาญจนชูศักดิ์
มีรายงานว่า สาเหตุที่กลุ่ม กก.บห.ผู้หญิง มาแถลงล่าช้าไปกว่าชั่วโมงครึ่ง เพราะมี 1 ใน 7 คน เปลี่ยนใจ หลังจากมีผู้บริหารระดับสูงในพรรค มาเกลี้ยกล่อมขอให้ชะลอการแถลงลาออก จึงเปลี่ยนใจ จนทำให้ภาพที่ออกมาของ กก.บห. กลุ่มผู้หญิง ไม่เป็นเอกภาพ โดยมีการหารือก่อนแถลง 4 คน คือ น.ส.รัชดา, น.ส.ผ่องศรี, นางเจิมมาส และ นางศรีสมร ร่วมหารือ ส่วนอีก 3 คน ติดงานในพื้นที่ แต่ปรากฏว่า หนึ่งในสี่คน ได้แจ้งขอกลับลำจะไม่ลาออกจาก กก.บห. จึงทำให้ นางศรีสมร ไม่เข้าร่วมแถลงด้วย จึงเป็นที่มาของการแถลงว่า กก.บห.กลุ่มหญิง 7 คน ยังไม่ลาออก จนกว่าสถานการณ์จะเหมาะสมในอนาคต
ทำให้ ขณะนี้มี กก.บห. ลาออกแล้ว 2 คนคือ “กนก วงษ์ตระหง่าน” และ “มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข” ทั้งนี้ ปัจจุบัน กก.บห. มีจำนวน 36 คน ซึ่งตามหลักการแล้ว หากมี กก.บห. ลาออกเกินกึ่งหนึ่ง หรือเกิน 18 คน จะส่งผลให้ กก.บห. ต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับพรรคพลังประชารัฐมาแล้ว
ดังนั้น จึงมีการล็อบบี้สุดฤทธิ์ จากผู้บริหารระดับสูงในพรรค จนทำให้ “7 กก.บห.หญิง” ต้องกลับลำ!!

**ฮือฮา “รสนา” เปิดชื่อคณะที่ปรึกษา “หมอเดชา-พิภพ-อดีตอธิการ ม.ศิลปากร-ม.ล.กร” นำทัพ

รสนา โตสิตระกูล
ใกล้เข้ามาแล้ว สำหรับการชิงชัยเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. นอกจากนโยบายหาเสียง กลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลังผู้สมัครแต่ละคนก็ถือว่าสำคัญ
เรียกเสียงฮือฮาไม่น้อย เมือ “รสนา โตสิตระกูล” หมายเลข 7 เปิดตัว “คณะที่ปรึกษา” ออกมา
โดยเมื่อวานนี้ (25 เม.ย.) “รสนา” ได้โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กของตัวเอง ระบุ “ขอประกาศทีมที่ปรึกษา รสนา โตสิตระกูล” ซึ่งแยกให้ดูมีทั้งหมด 5 ด้าน ดังนี้

 เดชา ศิริภัทร
1. ด้านการยกระดับคุณภาพการศึกษา ประกอบด้วย รศ.ดร.อุทัย ดุลยเกษม อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร นายสัญญา มัครินทร์ นักการศึกษาแบบบูรณาการแลออกแบบกระบวนการเรียนรู้ นายพิภพ ธงไชย เลขาธิการอาสามูลนิธิเด็ก และ นางรัชนี ธงไชย ผู้อํานวยการ โรงเรียนหมู่บานเด็ก

2. ด้านพัฒนาสังคมและความปลอดภัย นางสาวสมสุข บุญญะบัญชา โครงการบ้านมั่นคง สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ อ.ชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์ สถาบันการเรียนรู้และพัฒนาประชาสังคม (CivicNet) ดร.ศุธาฎา เมฆาวงศกุล นักนโยบายสาธารณะและธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน

3. ด้านแก้ปัญหาปากท้องและสวัสดิการ ผศ.ประสาท มีแต้ม นักสิทธิผู้บริโภคและพลังงาน ดร.ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ ปาริฉัตร เหล่าธีระศิริวงศ์ กรรมการกองทุนสงเคราะห์ กระทรวงศึกษาธิการ

พิภพ ธงไชย
4. ด้านดูแลสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ “หมอเดชา” นายเดชา ศิริภัทร หมอพื้นบ้าน และ ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ นพ.กุศล ประวิชไพบูลย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญและนักขับเคลื่อนจริยธรรมแพทย์ พทป.แวสะมิง แวหมะ หรือ หมอแวร์ สมาคมแพทย์อายุรเวชแผนไทยประยุกต์
5. ด้านปฏิรูประบบคมนาคมผังเมือง รศ.ดร.ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ วิศวกรไฟฟ้าระบบ Smart Grid นายสังวรณ์ พุ่มเทียน สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ (กสท โทรคมนาคม) นายชูชาติ ศุภวรรธนางกูร นักชลประทานและการบริหารจัดการน้ำ นายพิสิษฐ์ พิบูลย์ศิริ นักชลประทานและการบริหารจัดการน้ำ
เห็นรายชื่อแล้วต้องบอกว่า ไม่ธรรมดา แต่ละคนล้วนเป็น “ตัวจริง-เสียงจริง” ในภูมิรู้แต่ละด้านของตนเองและทำงานในพื้นที่มายาวนานต่อเนื่อง และ เป็นผู้ที่มีประวัติและผลงานเป็นที่ยอมรับของสังคม

ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี
ยกตัวอย่าง “หมอเดชา” สังคมไทยรู้จักในฐานะผู้บุกเบิกทำงานและส่งเสริมเกษตรอินทรีย์มายาวนาน เป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนชาวนาทั้งในและต่างประเทศ ได้รับรางวัลเกียรติยศมากมาย เป็นผู้ก่อตั้งมูลนิธิข้าวขวัญตั้งแต่ปี 2541 ถ่ายทอดองค์ความรู้และวิธีคิดให้เกษตรกรไทยเป็นอิสระจากวัฏจักรที่ยังไม่มีทางออกทั้งเรื่องต้นทุน-หนี้สิน และเป็นผู้จุดประกาย “กัญชาเพื่อการแพทย์” เจ้าของตำรับ “น้ำมันกัญชา” ที่เป็นทางเลือกสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง จนก่อให้เกิดการแก้ไขกฎหมายและผลักดันการปลดล็อกกัญชาออกจากยาเสพติดในวันนี้
ขณะที่คนอื่นๆ ที่เหลือหากให้เล่าประวัติกันตรงนี้น่าจะต้องใช้พื้นที่ยาวเหยียด เอาเป็นว่า แค่พอหอมปากหอมคอพอให้เห็นภาพ “รสนา” ผู้สมัครอิสระหมายเลข 7 นั้น ถูกจับตา และยกให้เป็นผู้สมัครชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม. “ม้านอกสายตา” แต่สำหรับกับคณะกุนซือ ต้องย้ำอีกทีว่า “ตัวจริง” นะจ๊ะ.




กำลังโหลดความคิดเห็น