ปชป.ส่อแตก “สองเสี่ยง” กองหนุน “จุรินทร์” เปิดศึก “กองเชียร์มาร์ค” แฉเบื้องหลังต้องการ “มาร์ค รีเทิร์น” “นิพิฏฐ์” โพสต์เป็นนัย “พายุมาจะรู้ว่า ใครเป็น “วีรบุรุษ” หรือ “คนเห็นแก่ตัว” “พนิต” ชี้ “ลาออก” ไม่ใช่หนีปัญหา
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (24 เม.ย. 65) นายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ ผู้สื่อข่าวอาวุโส พิธีกรการเมืองและความมั่นคงชื่อดัง โพสต์ข้อความถึงสถานการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ หลังเกิดเรื่องอื้อฉาว กรณี นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ ว่า
“นอนยันจากนักการเมืองเบอร์ใหญ่ ส.ส.หลายสมัย ใน ปชป.ยังมีความพยายามดัน “มาร์ค” กลับมาเป็น หน.พรรค อีกรอบ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อขอรับ”
ก่อนหน้านี้ นายเสริมสุข โพสต์ข้อความถึง นางกาญจนี วัลยะเสวี หรือ “ติ๊งต่าง” เจ้าของฉายาไฮโซสปอร์ตคลับ ที่ออกมาเคลื่อนไหวขับไล่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อย่างต่อเนื่อง โดย นายเสริมสุข โพสต์ว่า
“แม่ยกสายมาร์คลุยแล้วจ้า ร่วมขย่มเรียกร้อง จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ลาออกจากหัวหน้าพรรค กรณีฉาวอดีตรองหัวหน้าปริญญ์ หลัง ส.ส.สายมาร์ค ปล่อยไลน์กลุ่มถล่มจุรินทร์ หวังพลิกสถานการณ์เอามาร์ค… กลับมานำทัพอีกรอบ”
โพสต์ของ นายเสริมสุข สืบเนื่องจาก นางกาญจนี โพสต์ว่า
“พรรคประชาธิปัตย์ที่ฉันรักกำลังอยู่ในช่วงขาลง อยากให้ผู้บริหารพรรคอย่าฝืนตัวเองและจิตใจของประชาชนที่รักพรรคต่อไปเลย กระแสที่มารุมเร้าพรรคจะได้ทุเลาเบาบางลงบ้าง ผู้บริหารพรรคทั้งหมดควรลาออกไปก่อน แล้วให้ใครรักษาการหัวหน้าพรรคและผู้บริหารพรรค เอารักษาการหัวหน้าพรรคที่มีอุดมการณ์ ชัดเจน ทำงานไปก่อน
อยากให้ลดฐิติลงบ้างเพื่อส่วนรวม สถานการณ์ทางการเมืองจะดีขึ้นเอง อย่างน้อยจะสามารถลดกระแสต้านพรรคลงได้ ว่าปชป.ได้ทำอะไรไปเพิ่มเติม สงสารพวกที่เชียร์ประชาธิปัตย์กันบ้างนะคะ”
ขณะที่เฟซบุ๊ก ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ ก็โพสต์ข้อความว่า
“5555 และบอกว่า เอาเลย เอาให้พังพินาศไปเลย พรรคประชาธิปัตย์ เชิญทำตามติ่งพี่มาร์คเลยครับ ทำเลย ทำเลย ทำเลย”
โดยโพสต์ของทั้งนายเสริมสุข และ นายอานนท์ ถูกแชร์ออกไปอย่างกว้างขวางเช่นเดียวกันกับข้อความของนางกาญจนี
และล่าสุด นางกาญจนี โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า “ถ้าอภิสิทธิ์ได้กลับมาเก้าอี้ลุงจะไม่มั่นคง ดังนั้น จึงเกิดกระบวนการการกันทุกทาง ไม่ให้นายอภิสิทธิ์ได้กลับมา” (จากไทยโพสต์)
ขณะเดียวกัน นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุุ๊กส่วนตัว ระบุว่า...
“สิ่งที่คุณทำตอนพายุมา จะแสดงให้เห็นว่า คุณเป็นวีรบุรุษ หรือ คนเห็นแก่ตัว”
รวมทั้ง นายพนิต วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) โพสต์ข้อความผ่านเพจส่วนตัว Panich Vikitsreth - พนิต วิกิตเศรษฐ์ เรื่อง “Accountability” เพื่อรับผิดชอบ ไม่ใช่หนีปัญหา! ว่า
“ตนเชื่อมาเสมอว่า สิ่งที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ยังยืนหยัดอยู่ตรงนี้มานานหลายสิบปี จนได้ชื่อว่า เป็นสถาบันการเมืองที่มีรากฐานมั่นคงที่สุด คือ ความศรัทธา และ ความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อเรา
วันนี้พรรคกำลังเผชิญวิกฤต ครั้งใหญ่ และเราจะผ่านวิกฤตไปได้ ก็ต่อเมื่อได้ทำให้สังคมและประชาชนกลับมาศรัทธาและเชื่อมั่นเราเหมือนเดิม
ตั้งแต่เกิดเรื่องในช่วงสงกรานต์ ต่อเนื่องมาปฏิกิริยาของผู้บริหารพรรคที่ออกมาขอโทษและแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม แต่ผ่านมาแล้วหลายวัน คำถามของสังคมและประชาชนที่มีต่อเรายังคงอยู่ โดยเฉพาะคำถามที่ว่า จบแบบนี้ใช่หรือไม่?
ตนเห็นด้วยที่ผู้บริหารพรรคที่กล้าออกมาขอโทษต่อสังคม แม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นปฏิกิริยาที่ช้าเกินไปก็ตาม แต่ในฐานะสมาชิกพรรค ตนให้กำลังใจ การมองว่า ช้า หรือ ไม่ช้า นั่นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ ช้า แล้วเพียงพอที่จะเรียกศรัทธาและความเชื่อมั่นของพรรคให้กลับมาได้หรือไม่ต่างหากเป็นเรื่องสำคัญ
“เพราะวันนี้มีหลายคนมองว่า สิ่งที่ดำเนินการไปยังไม่เพียงพอ จนทำให้ประชาชนอาจไม่เชื่อว่า พรรคแก้ไขปัญหานี้ได้ในแนวทางที่ถูกต้องแล้ว พูดง่ายๆ คือ คนยังไม่เชื่อใจพวกเรา หากเป็นธนาคาร พวกเขายังคงถอนเงินออกอย่างต่อเนื่องอยู่ เพราะไม่มั่นใจว่า เราจะบริหารสินทรัพย์ได้ดี”
“ประชาชนต้องการความมั่นใจมากกว่านี้ ดังนั้น เราต้องคิดให้ออกว่า ยังมีอะไร หรือมีมาตรการอะไรที่ชัดเจนว่า เราจริงจังและจริงใจในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น รวมไปถึงความรับผิดชอบอะไรที่จะทำให้พวกเขากลับมาศรัทธาได้เหมือนเดิม
ในภาษาอังกฤษ มีคำอยู่ 2 คำ ที่เกี่ยวกับเรื่อง “ความรับผิดชอบ” คำแรกคือ Responsibility หรือ ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ กับอีกคำคือ Accountability หรือ ความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หรือความรับผิดชอบต่อการกระทำของบุคคลที่เกี่ยวข้อง
2 คำนี้แตกต่างกันพอสมควร และสำหรับ Responsibility ไม่น่าจะเพียงพอกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับพวกเราอยู่ เพราะสังคมต้องการอะไรที่มากกว่า Responsibility ไปแล้ว
สังคมต้องการมากกว่าคำพูดว่า รับผิดชอบ แต่พวกเขาต้องการให้เรารับผิดชอบและดำเนินการกับสิ่งที่ได้ทำลงไปจากกรณีการแต่งตั้งบุคคลคนหนึ่งขึ้นมาและเกิดความเสียหาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Accountability
แต่ในกรณีที่มีหลายคน Responsible ไม่จำเป็นว่า ทุกคนจะต้อง Accountable ในต่างประเทศ หรือแม้แต่ในประเทศไทยเอง ส่วนใหญ่จะเป็นผู้นำที่จะต้องรับภาระนี้ ตัวอย่างที่ดี คือ การที่หัวหน้าโครงการก่อสร้างอาจจะไม่ได้เป็นคนที่ Responsible สำหรับงานสร้างในทุกส่วนของโครงการ แต่จะต้องเป็นคนที่ Accountable เมื่อมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นในแต่ละภาคส่วน
“ในอดีตคนในพรรคประชาธิปัตย์เอง เคยแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์หรือรับผิดชอบต่อการกระทำของบุคคลที่เกี่ยวข้องมาหลายคนแล้ว ยกตัวอย่าง คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี คุณอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าฯ กทม. คุณวิฑูรย์ นามบุตร อดีต รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
แม้แต่ล่าสุดที่ คุณวิทยา แก้วภราดัย อดีต ส.ส.หลายสมัยของพรรคเรา ตัดสินใจลาออกจากสมาชิกและกรรมการบริหารพรรค เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อประชาชน ในฐานะที่กรรมการบริหารพรรคเป็นคนชักจูง คุณปริญญ์ พานิชภักดิ์ มาอยู่ในพรรค
“สำหรับผมไม่มองว่า การรับผิดชอบด้วยการลาออก จะเป็นการทิ้งปัญหา หรือหนีปัญหา เพราะพรรคประชาธิปัตย์คือสถาบันการเมือง ที่ขับเคลื่อนและยืนหยัดในหลักการไม่ใช่ตัวบุคคล ผมคิดเพียงแต่ว่า จะทำอย่างไรให้ประชาชนมั่นใจว่า เราคือสถาบันทางการเมืองที่ไว้วางใจได้” (จากสยามรัฐออนไลน์)
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ การต่อสู้กันระหว่าง “สองขั้ว” การเมืองในประชาธิปัตย์ ที่มีอยู่ก่อนแล้ว และวันนี้ดูเหมือนชัดเจนขึ้น เมื่อกองเชียร์ กองหนุนของแต่ละฝ่ายต่างมีท่าทีและเรียกร้องต้องการ ต่อกรณี “ปริญญ์” ต่างกัน
กล่าวคือ มีทั้งคนหนุนให้ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) อยู่ต่อ กับอีกฝ่ายต้องการให้ หัวหน้า และ กก.บห.ลาออกยกชุด เพื่อรับผิดชอบต่อการนำ “ปริญญ์” เข้ามาเป็นรองหัวหน้าพรรค
ยิ่งกว่านั้น ประเด็นยังขยายปมผูกโยงไปถึง “เบื้องหลัง” ความต้องการให้ “มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคอีกครั้ง เพื่อกอบกู้ศรัทธาให้กับพรรค
ดังนั้น เมื่อเรื่องนี้มีการเมืองภายในพรรคเข้ามาแทรก และเชื่อว่า “จุรินทร์” ก็รู้อยู่แก่ใจดี “ไผเป็นไผ” จึงไม่ยอม “ลาออก” เพราะนั่นจะเท่ากับ เกมไปเข้าทางฝ่ายเชียร์ “อภิสิทธิ์” ทันที
สุดท้ายคงต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดว่า “เกม” จะจบลงอย่างไร เพราะสถานการณ์ในขณะนี้ ดูเหมือนทั้งสองฝ่ายเปิดหน้าสู้กันอย่างชัดเจนแล้ว