“สุพล” เปิดใจทิ้ง พปชร.ซบสร้างอนาคตไทย เหตุมีคนเก่ง-มีอุดมการณ์-หวังแก้ปัญหา ปชช. “นิพิฏฐ์” เผย “สมคิด” ชวนทำสงครามครั้งสุดท้าย หวังทำภาคใต้ให้หายจน “สุรนันทน์” กาง 3 เหตุผล กลับมาลุยงานการเมือง ระบุถึงเวลาสลายขั้วการเมืองเพื่อชาติ ลั่นนายกฯต้องชื่อ “สมคิด” ชาติถึงไปรอด
วันนี้ (20 เม.ย.) ที่ห้องแกรนด์ ไดมอนด์ ห้องแกรนด์ ไดมอนด์ บอลรูม อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี ในระหว่างการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2565 ของพรรคสร้างอนาคตไทยช่วงหนึ่ง นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย ได้กล่าวแนะนำผู้ร่วมอุดมการณ์ และกรรมการบริหารพรรคบางส่วน พร้อมเปิดพื้นที่ให้กล่าวถึงจุดยืน และวิสัยทัศน์ในการเข้ามาร่วมทำงานการเมืองกับพรรคสร้างอนาคตไทย อาทิ นายวิเชียร ชวลิต อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ, นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรีสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต รมว.วัฒนธรรม และ ส.ส.หลายสมัย และ นายสุพล ฟองงาม อดีต ส.ส.หลายสมัย เป็นต้น
โดย นายสุพล กล่าวว่า ตนเป็นนักการเมืองมืออาชีพ มาจากการเลือกตั้งท้องถิ่นสู่ระดับชาติ สวมเสื้อตัวแรก คือ พรรคความหวังใหม่ ต่อมาคือ พรรคไทยรักไทย ที่ไม่มี ส.ส. แต่มีผู้นำและมีแนวคิด จนได้รู้จัก นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯ เมื่อปี 2543 และมีความศรัทธา เพราะเป็นคนเก่งในการวางนโยบาย จากนั้นได้เปลี่ยนมาเป็นพรรคเพื่อไทย และเสื้อตัวที่สาม คือ มาอยู่พรรคพลังประชารัฐ ตามคำชวน นายสมคิด ให้มาช่วยสร้างพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นการตัดสินใจยากที่สุด แต่ก็ตัดสินใจลาออก เพราะเห็นว่ายังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้
“วันนี้ตัดสินใจมาอยู่กับพรรคสร้างอนาคตไทย เพราะมีคนเก่ง คนกล้า เสียสละทำเพื่อบ้านเมือง โดยได้รับมอบหมายให้ดูโซนภาคอีสาน ผมมองว่า คนอีสานเข้าใจง่าย ถ้ารู้จักสื่อสาร หลายคนมองว่ายากที่จะไปแย่งพื้นที่กับพรรคเพื่อไทย แต่จากนโยบายและความตั้งใจที่จะทำงานแก้ปัญหา จึงมองว่าจะผ่านไปได้” นายสุพล กล่าว
ด้าน นายนิพิฏฐ์ กล่าวว่า ขอบคุณคณะผู้บริหาร และ นายสมคิด ที่เป็นคนเชิญตนเองมาร่วมงานเมื่อ 3-4 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งการพูดคุย 2 ครั้ง ตนได้แจ้งไปว่าตนเมื่อเดินออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ตนเสมือนเป็นสิ่งที่ชำรุดทางการเมืองไปแล้ว แต่นายสมคิด นายอุตตม และ นายสนธิรัตน์ บอกว่า ตนยังมีประโยชน์ทางการเมือง จึงขอให้มาช่วยงานฟื้นฟูภาคใต้ โดยใช้คำพูดว่า “ทำภาคใต้ให้หายจน” และตนก็ขอบอกว่า ครั้งนี้เป็นการทำสงครามครั้งสุดท้ายในชีวิต แพ้ชนะตนไม่เสียใจเลย เพราะตนกำลังหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับคนภาคใต้
นายนิพิฏฐ์ กล่าวว่า ในอดีตตนใส่เสื้อแจ็กเกตของพรรคประชาธิปัตย์ แต่วันนี้มาใส่แจ็กเกตของพรรคสร้างอนาคตไทย ฉะนั้น ขออย่าดูที่แจ็กเกตที่ใส่ เพราะไม่ว่าจะใส่แจ็กเกตไหนก็ตาม หัวใจของตนยังเป็นเหมือนเดิมทุกประการ และในฐานะที่เป็นนักกฎหมายก็จะสู้เพื่อสิ่งนี้ให้กับประชาชน
นายสุรนันทน์ กล่าวว่า ตนมี 3 เหตุผลที่กลับมาทำการเมือง คือ 1. รัฐบาลไม่สามารถจัดการระบบสาธารณสุขไทย ทำให้คนติดโควิด-19 ตายวันละ 100 คน ทั้งที่สมัยก่อนมีนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค เพื่อให้ประเทศไทยเป็นฮับของการรักษาพยาบาล 2. รัฐบาลบริหารเศรษฐกิจแบบลักปิดลักเปิด ไม่มีแผนสำหรับวันนี้และอนาคต อยู่ไปวันๆ และ 3. การบริหารจัดการล้มเหลวของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงไม่สามารถที่จะขอให้อยู่ต่ออีก
นายสุรนันทน์ กล่าวว่า หลายคนถามว่า ทำไมตนไม่กลับไปพรรคเพื่อไทย ซึ่งตนยังให้ความเคารพ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีอยู่ เพราะตนคิดว่าวันนี้เราต้องมาสร้างพาหนะใหม่ และองค์กรใหม่ร่วมกัน ที่มีความเป็นมืออาชีพผสมผสานทั้งความคิดใหม่ ที่ผ่านมา คู่ต่อสู้ของตน คือ พรรคประชาธิปัตย์ เช่น นายนิพิฏฐ์ แต่เราต่อสู้กันในเชิงความคิดและเหตุผล หรือคนเคยเป่านกหวีดไล่ตน คือ นายสันติ กีระนันทน์ ซึ่งตอนนี้มาทำงานร่วมกัน เราต้องลดอีโก้ของตัวเอง เพื่อประเทศชาติ
“วันนี้ถึงเวลาสลายขั้วทางการเมือง และสลายความขัดแย้ง เพื่อจับมือกันรวมตัวคนดีและคนเก่ง มาช่วยเหลือประเทศ ผมเชื่อว่า ถ้านายกฯ ประเทศไทยไม่ชื่อ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประเทศนี้ไปไม่รอดแน่” นายสุรนันทน์ กล่าว