เมืองไทย 360 องศา
ถือว่าเปิดตัวได้อย่างน่าสนใจทีเดียว สำหรับพรรคการเมืองน้องใหม่ อย่างพรรคสร้างอนาคตไทย ที่ตอนนี้เป็นพรรคน้องใหม่อย่างเป็นทางการ และเริ่มต้นเดินหน้าได้อย่างเต็มกำลังแล้ว เนื่องจากมีการคัดเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ เพื่อขับเคลื่อนพรรคสร้างอนาคตไทย ทางการเมืองที่พวกเขาคาดหวังเอาไว้
อย่างไรก็ดี เพื่อให้ฉายภาพได้ชัดเจนมากขึ้น ก็จะนำรายชื่อคณะกรรมการบริหารพรรคสร้างอนาคตไทย ที่ผ่านการคัดเลือกจากที่ประชุมจำนวน 16 คน ว่า มีใครกันบ้าง ดังนี้
1. นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค 2. นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค 3. นายสันติ กีระนันทน เหรัญญิกพรรค 4. นายนิทัศน์ ประทักษ์ใจ นายทะเบียนพรรค 5. นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ กรรมการบริหาร 6. นายสุพล ฟองงาม กรรมการบริหาร 7. นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ กรรมการบริหาร 8. นายวิเชียร ชวลิต กรรมการบริหาร 9. นายนริศ เชยกลิ่น กรรมการบริหาร 10. นายวัชระ กรรณิการ์ กรรมการบริหาร 11. นายรักษ์พงษ์ เซ่งเจริญ กรรมการบริหาร 12. นายวิรัช วิฑูรย์เธียร กรรมการบริหาร 13. นายโอฬาร วีระนนท์ กรรมการบริหาร 14. นายอิธวัฒน์ พิทักษ์คุมพล กรรมการบริหาร 15. นางทิพย์พาพร ตันติสุนทร กรรมการบริหาร และ 16. น.ส.โชนรังสี เฉลิมชัยกิจ กรรมการบริหาร
ขณะเดียวกัน ยังมีการประกาศวิสัยทัศน์ 5 สร้าง เป็นแนวทางในการบริหารบ้านเมืองในวันข้างหน้า นั่นคือ
1. สร้างเศรษฐกิจฐานรากเข้มแข็งและทันสมัย
2. สร้างภาคเศรษฐกิจใหม่โครงสร้างพื้นฐานแห่งอนาคต พัฒนาระบบเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) ที่สร้างมูลค่าสูงด้วยแนวคิด BCG (Bio-Circular-Green Economy) คือ ระบบเศรษฐกิจฐานชีวภาพ มีการหมุนเวียนการใช้ทรัพยากรและเป็นมิตรกับโลกเพื่อทดแทนระบบเศรษฐกิจเก่า (Old Economy) ที่สร้างมูลค่าน้อยและเป็นปัญหากับสภาพแวดล้อมไทยและโลก
3. สร้างสังคมที่เกื้อกูล เป็นธรรม และยั่งยืน-สร้างสังคมที่มีความเป็นธรรม คืนความสุขให้คนไทยทุกคน บูรณะวัฒนธรรมพื้นฐานของความเอื้ออาทร เกื้อกูล มีน้ำใจ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ในจิตใจของคนไทยทุกคน
4. สร้างคนและวิทยาการ พร้อมก้าวสู่สังคมโลกแห่งอนาคต สร้างคนให้พร้อม สามารถใช้ประโยชน์จากความเปลี่ยนแปลงของบริบทโลก ด้วยเทคโนโลยีในระบบการศึกษาและการศึกษาต่อเนื่อง สร้างพื้นฐานความรู้ที่เข้มแข็งและมีจิตที่พร้อมจะเรียนรู้ตลอดชีวิต เป็นหลักประกันในการยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยให้ทัดเทียมนานาอารยประเทศ
5. สร้างการเมืองที่สร้างสรรค์พลังบวก ดำเนินงานการเมืองโดยยึดถือประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข สร้างระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง บนพื้นฐานจิตสาธารณะ หยุดประชาธิปไตยเทียมที่มีเพียงรูปแบบอันหลอกลวงมุ่งสนองประโยชน์ของพวกพ้องและอภิสิทธิ์ชน หยุดยั้งการเมืองเชิงทำลายที่มุ่งสร้างความร้าวฉานเพียงเพื่อช่วงชิงอำนาจด้วยเกมการเมือง
นโยบาย “5 สร้าง” ดังกล่าว ถือว่า น่าสนใจไม่น้อย เมื่อโฟกัสไปที่ “เศรษฐกิจฐานรากและชุมชน” ให้เข้มแข็งและทันสมัย ทันโลกที่เปลี่ยนแปลงไป อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากแนวทาง และ “แบ็กกราวนด์” ของผู้บริหารพรรค อย่าง นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค และ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค ที่ก่อนหน้านี้ ต้องยอมรับว่า พวกเขาได้ทำให้นโยบายในเรื่อง “เศรษฐกิจชุมชน” มีชีวิตชีวา และมีความหวังตั้งแต่ร่วมรัฐบาลในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก่อนหน้านี้
ขณะเดียวกัน ด้วยภาพลักษณ์ของพวกเขา ที่เน้นชูในเรื่องเศรษฐกิจชาวบ้าน ชุมชน ผสานกับเศรษฐกิจในภาพใหญ่ที่เชื่อมโยงกับการลงทุนจากต่างประเทศ มันทำให้ถูกจับจ้องจากคนทั่วไป เพราะสถานการณ์ในวันนี้ต้องยอมรับว่าปัญหา “ปากท้อง” ของคนไทยทุกระดับกำลังอยู่ในขั้นวิกฤต ดังนั้น ภาพของ “มือเศรษฐกิจ” ที่เป็นลักษณะ “เศรษฐกิจชาวบ้าน” จึงน่าสนใจ
และที่ต้องจับตาอีกก็คือ การประกาศชู นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี อันดับหนึ่งของพรรค และ นายอุตตม สาวนายน เป็นแคนดิเดตอันดับสอง แม้ว่าอาจจะรับรู้กันมาพักใหญ่แล้ว แต่คราวนี้ถือว่าเป็นการตอกย้ำให้เห็นชัดเจน แม้ว่าตามกระบวนการ ยังถือว่าไม่เป็นทางการ แต่ก็เป็นการสร้างความชัดเจนให้เกิดความมั่นใจให้กับผู้สนับสนุนที่เฝ้ามองอยู่ในวงนอก อาจเป็นเพราะด้วยชื่อชั้นของ นายสมคิด ที่ถูกโฟกัสให้เป็น “มือเศรษฐกิจ” คนสำคัญมาก่อนต่อเนื่องมาจนถึงยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะ “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” ที่ตอนนั้น ถือว่าเป็น “จุดแข็ง” ของรัฐบาลที่เกี่ยวกับ “เศรษฐกิจมหภาค” เศรษฐกิจขนาดใหญ่ เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจชุมชนฐานราก และที่ผ่านมา หากพิจารณาถึงบทบาท มักจะเป็นลักษณะ “อยู่เบื้องหลัง” แต่คราวนี้ถึงเวลาต้องออกหน้านำทัพแล้ว
นอกจากนี้ ด้วยท่าทีทางการเมืองของพวกเขาที่ออกมาในโทน “ไม่แข็งกร้าว” ยืนยันทำการเมืองแบบสร้างสรรค์ มันน่าจะดึงดูดการสนับสนุนจากสังคมได้ไม่น้อยแน่นอน เพราะเชื่อว่า หลายคนกำลังเบื่อหน่ายกับการขับเคี่ยวและแบ่งแยกขัดแย้งกันอยู่ในเวลานี้ และหากสังเกตระหว่างการเปิดตัว ก็มีตัวแทนจากหลายพรรคการเมืองมาร่วมแสดงความยินดีทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล
แน่นอนว่า นี่เป็นเพียงเริ่มต้น ซึ่งการเมืองต้องมองกันยาวๆ แต่นาทีนี้เป็นการเริ่มต้นที่น่าสนใจและน่าจับตา เพราะด้วยบุคลากรที่เห็นในชุดเริ่มแรกก็ต้องยอมรับว่าใช้ได้ทีเดียว และด้วยคณะกรรมการบริหารชุดแรกเพียงแค่ 16 คนเท่านั้น น่าจะเป็นการเปิดกว้างไว้รองรับระดับ “บิ๊กเนม” ที่จะทยอยมาสมทบเพิ่มเติมในอนาคตอย่างแน่นอน
อาจเป็นว่าการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของพรรคสร้างอนาคตไทย ในครั้งนี้ ทั้งบุคลากรและนโยบายหลักๆ ที่เริ่มเปิดออกมาถือว่า “แน่น” หลากหลาย และจับต้องได้พอสมควร ส่วนจะ “อนาคตไกล” แค่ไหน กาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ แต่อย่างน้อยในช่วงเริ่มต้น ก็ถือว่าโอเค น่าจะเป็นความหวังและสร้างทางเลือกใหม่ให้กับการเมืองไทยขึ้นมาอีกพรรคหนึ่ง !!