เพื่อศักดิ์ศรีมนุษย์! “เสมอภาค” ชงเอาผิดตัดสิทธิ์การเมืองตลอดชีวิต หากล่วงละเมิดทางเพศจริง “หมอเรวัต” ชี้ เหตุนักการเมืองขืนใจ สะท้อน “ความอยุติธรรม” ผู้มีอำนาจใช้เส้นรอดคดี “เทพไท” ชื่นชม มาตรฐาน ปชป.
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้(15 เม.ย.65) จากกรณี ปริญญ์ พานิชภักดิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ถูกกล่าวหาล่วงละเมิดทางเพศ นางรฎาวัญ(ลดาวัลลิ์) วงศ์ศรีวงศ์ หัวหน้าพรรคเสมอภาค โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า
“รู้สึกเสียใจมากที่มีข่าวว่านักการเมืองพรรคใหญ่คนหนึ่งที่มีตำแหน่งเป็นถึงรองหัวหน้าพรรค ถูกกล่าวหาและถูกสังคมกล่าวถึงพฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศหลายกรณี ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่รอดเงื้อมมือของกฎหมายเพราะมีเส้นใหญ่
ในความเป็นจริงเคยเกิดการล่วงละเมิดทางเพศหลายกรณีตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทั้งที่เป็นข่าวและไม่เป็นข่าว และเคยได้รับการร้องขอให้ช่วยเหลือเหยื่อที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งมีทั้งเด็กวัยรุ่น หนุ่มสาว คนในครอบครัว รวมถึงผู้นำท้องที่และนักการเมืองท้องถิ่น
และมาถึงวันนี้ผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำการล่วงละเมิดทางเพศเป็นนักการเมืองระดับชาติ เป็นผู้บริหารระดับสูงของพรรคการเมืองชื่อดัง คงจะไปต่อสู้พิสูจน์ความจริงในชั้นศาล
คณะกรรมการบริหารพรรคเสมอภาคด้านสังคม อาทิ นายพนิชพงศ์ แสงทอง ศ.กิตติเมธีและวุฒิคุณ ดร.ณสรัญ มหิทธิชาติกุล นางสาวนลินภัสร์ องค์คุณารักษ์ พลตรีรัชพล สุทนต์ นายณัทชลัช ผดุงสรรพ และ ดร.ฐิติพร ฌานวังศะ ได้ร่วมกันพิจารณาและมีความเห็นว่า
ประเด็นสำคัญที่สุดของเหตุการณ์นี้ ก็คือ สตรีเพศและสตรีข้ามเพศ ทุกวัย ทุกคน ต้องลุกขึ้นมาทวงถามถึง "ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์" ไม่ใช่มองว่า เป็นแค่เรื่องทางเพศแต่ให้ตระหนักถึงเกียรติแห่งเพศแม่ที่ไม่ควรมีการกดขี่ ย่ำยีอีกต่อไป อีกทั้งควรเรียกร้องให้มีการแก้ไขกฎหมายที่มีช่องโหว่อยู่มาก ที่เห็นชัดก็คือการลวนลามในที่ลับหลายคดีรอดจากกฎหมาย จนทำให้ผู้ก่อเหตุไม่สำนึกหลาบจำทำความผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่อถึงจิตใต้สำนึก การเลี้ยงดู ไม่เลือกว่าจะมีการศึกษาสูง หรือไร้การศึกษา
บรรดาผู้ที่มีการศึกษาสูงและอ้างตัวเองเข้ามารักษาผลประโยชน์และรักษาสิทธิเสรีภาพของประชาชนทุกเพศทุกวัย ที่อยู่ในองค์กรต่างๆควรให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้และออกมาตรวจสอบการคุกคามล่วงละเมิดทางเพศอย่างจริงจังได้แล้ว อย่าให้ความศรัทธาเสื่อมไปมากกว่านี้เลย
ถ้าหากตรวจสอบแล้ว พบว่าเป็นการกระทำผิดจริงมีพยานหลักฐานชัดเจน คณะกรรมการทางจริยธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรทำเป็นคดีตัวอย่าง แม้ว่าคดีเช่นนี้จะยอมความกันได้ก็ตาม
อยากขอร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมองให้ลึกซึ้งในคดีการล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งจะพบว่าเป็นเรื่องเลวร้ายกว่าคดีการบุกรุกป่า มากมายหลายเท่า ผู้กระทำผิดในคดีบุกรุกป่าเพียงแค่ทำลายหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ
แต่คดีล่วงละเมิดทางเพศ ส่งผลทำลายเหยื่อผู้ถูกกระทำมากมายหลายด้าน เช่น ทำให้เจ็บปวดทรมานทางร่างกายและทางจิตใจ ทำให้หวาดกลัว ทำให้มีมลทิน ทำให้อับอาย ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรี ทำให้เป็นโรคจิตโรคประสาท โรคซึมเศร้า เกิด "แผลเป็นในจิตใจ" ต้องทุกข์ทรมาณไปตลอดชีวิต เหมือนตายผ่อนส่ง และเหมือนตกนรกทั้งเป็น
วันนี้ถึงเวลาหรือยัง? ที่จะกำหนดบทลงโทษคดีคุกคาม ข่มขืน กระทำชำเรา ล่วงละเมิดทางเพศ ให้รุนแรงขึ้นถึงขั้นตัดสิทธิ์การดำรงตำแหน่งทางการเมืองตลอดชีวิตสำหรับนักการเมือง และตัดสิทธิ์การเข้ารับราชการตลอดชีวิตสำหรับข้าราชการอีกด้วย
#ล่วงละเมิดทางเพศ #ตัดสิทธิ์การเมืองตลอดชีวิต #ถึงเวลาปกป้องสตรีเพศแม่ #หยุดด้อยค่าสตรีเพศแม่ #เสมอภาค #เท่าเทีย #ทั่วถึง #ติธรรม#เสมอภาคทางเพศ #รฎาวัญ #ลดาวัลลิ์”
ขณะเดียวกัน นพ.เรวัต วิศรุตเวช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย และ อดีตอธิบดีกรมการแพทย์ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า Ep 202 ช็อค นักการเมืองดังเป็นนักข่มขืน
ข่าวดังที่มีนักการเมืองรายหนึ่งถูกแจ้งความโดยผู้เสียหายหลายรายว่า ถูกข่มขืน กำลังอยู่ในความสนใจของสังคมเป็นอย่างสูง แต่นอกจากเรื่องพฤติกรรมส่วนตัวที่ชอบล่วงละเมิดทางเพศอยู่เป็นประจำ(Sexual Harassment) ยังมีประเด็นที่น่าสนใจมากคือ เหยื่อทุกรายหวาดกลัวกับอิทธิพลของผู้มีอำนาจทั้งเงินและบารมีของนักการเมืองรายนี้ จนไม่กล้าไปแจ้งความดำเนินคดี เพราะรู้ดีแก่ใจว่า อาจไม่ได้รับความเป็นธรรมใดๆ
ซึ่งสะท้อนปัญหาความอยุติธรรมในบ้านเมืองเรา ว่าผู้มีบารมี หรือผู้มีอิทธิพลสามารถใช้เส้นสายในกระบวนการยุติธรรมรอดพ้นจากความผิดหรือได้เปรียบในการต่อสู้ เหมือนเช่นที่ผ่านมาหลายครั้งหลายครา
ความเหลื่อมล้ำในกระบวนการยุติธรรมระหว่างผู้มีอำนาจบารมีกับประชาชนคนธรรมดาเกิดขึ้นซ้ำๆหลายครั้ง หลายกรณี ทำให้เหยื่อต้องทนเจ็บช้ำน้ำใจ อาจเจ็บปวดเป็นโรคซึมเศร้า จนถึงขั้นฆ่าตัวตายได้
จึงขอเป็นอีกหนึ่งเสียงที่ให้กำลังใจเหยื่อที่ถูกทำร้ายทุกคนและขอให้คนไทยทุกคนช่วยกันออกมาส่งเสียงดังๆ เพื่อสร้างความยุติธรรมให้กับตัวเองและด้วยมือของเราเอง ถ้ามันไม่มา ก็ต้องไปหามัน
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า
“ผมขอชื่นชมในสปิริตของคุณปริญญ์ พานิชภักดิ์ ที่ตัดสินใจลาออกจากทุกตำแหน่งในพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งรองหัวหน้าพรรค และผู้อำนวยการเลือกตั้งผู้ว่าการกรุงเทพมหานครของพรรค เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อพรรค ซึ่งเป็นการเสียสละและรับผิดชอบต่อพรรค เพื่อไปต่อสู้พิสูจน์ความจริงตามกระบวนการยุติธรรม และไม่ให้ผลของข้อกล่าวหากระทบต่อภาพลักษณ์ของพรรคประชาธิปัตย์
จึงขอชื่นชมที่คุณปริญญ์ นักการเมืองรุ่นใหม่ ที่รักษามาตรฐานความเป็นพรรคประชาธิปัตย์ไว้ เหมือนกับสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ที่เคยถูกข้อกล่าวหาในอดีตที่ผ่านมา และได้แสดงความรับผิดชอบลาออกจากตำแหน่งไว้ก่อน ระหว่างมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงขึ้นมา
ทั้งกรณีของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าฯกทม. นายวิทยา แก้วภราดัย อดีตรมว.สาธารณสุข และนายวิฑูรย์ นามบุตร อดีตรมว.พัฒนาสังคมและความั่นคงของมนุษย์ ซึ่งได้แสดงสปิริตลาออกให้เป็นบรรทัดฐานมาแล้ว แม้ว่าภายหลังการสอบสวนจะไม่พบความผิด เป็นผู้บริสุทธิ์ก็ตาม แต่ก็ถือว่า ได้ทำตามมาตรฐานของพรรค ที่ยึดถือปฏิบัติมายาวนาน สมกับเป็นพรรคสถาบันทางการเมือง
ขอขอบคุณ คุณปริญญ์ พานิชภักดิ์ อีกครั้งหนึ่ง แม้จะเป็นสมาชิกใหม่ คนรุ่นใหม่ แต่ไม่ยึดติดกับตำแหน่ง ไม่นำเรื่องส่วนตัวมาเกี่ยวพันกับพรรค ให้เป็นประเด็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของสังคมต่อไป”
แน่นอน, ประเด็นน่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ การให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และไม่ด่วนใช้ศาลเตี้ยตัดสินว่า มีการทำผิดจริง จนกว่าจะมีการต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม และศาลพิจารณาพิพากษาจนถึงที่สุด
เพราะว่า เรื่องนี้มีผลไม่มากก็น้อยกับการต่อสู้ทางการเมือง โดยเฉพาะในสนามเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. และ สก. เนื่องจาก ผู้ถูกกล่าวหา มีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการศูนย์เลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์ด้วย
แม้ว่า หัวอกของคนที่ตกเป็น “เหยื่อ” ล่วงละเมิดทางเพศ ถ้าเกิดขึ้นจริง ก็น่าเห็นใจอย่างมากอยู่แล้ว และสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องให้ความเป็นธรรมอย่างถึงที่สุด
เหนืออื่นใด สิ่งที่น่าดีใจก็คือ ประชาชนให้ความสำคัญต่อการทำผิดของนักการเมือง ซึ่งถือว่า เป็นบุคคลที่จะต้องมีความรับผิดชอบสูงต่อตำแหน่งหน้าที่ ในฐานะ “ตัวแทน”ประชาชน ที่เพิ่มเติมจากบุคคลธรรมดาที่ทำความผิด ซึ่งจะเป็นอานิสงส์ไปสู่ทุกเรื่องที่เกิดขึ้น จนที่สุดก็จะเหลือแต่นักการเมือง “น้ำดี” เป็นที่พึ่งประชาชนอย่างแท้จริง
เพียงแต่ที่ต้องระวังอย่างสูง ก็คือ ไม่ให้เป็น “เหยื่อ” เกมการเมืองเท่านั้นเอง