เมืองไทย 360 องศา
เชื่อว่าหลายคนคงจะรู้สึกงงงวย หรือตลกขบขันกับความคิด ความเคลื่อนไหวของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานกลุ่มก้าวหน้า ที่ยังประกาศเดินหน้ารณรงค์ให้มีการกวาดล้างการทุจริตในบ้านเมืองนี้ ล่าสุด ก็เพิ่งไปขึ้นเวทีกล่าวอย่างเต็มปากเต็มคำ ระหว่างกล่าวสนับสนุนผู้สมัครผู้บริหารท้องถิ่นในเมืองพัทยา ว่า ต้องไม่มีเรื่องการทุจริต
แน่นอนว่า การทุจริตเป็นเรื่องน่ารังเกียจ และทุกคนในบ้านเมืองต้องช่วยกันป้องกันและปราบปราม เพราะการทุจริตคดโกงย่อมเป็นต้นตอของความล้าหลัง และความลำบากยากจนของประชาชนในทุกสังคม แต่ขณะเดียวกัน คนที่พูดเรื่องการปราบปรามทุจริต ก็ต้องมีประวัติที่ขาวสะอาด มีวัตรปฏิบัติที่โปร่งใส น่าเชื่อถือ ไม่ใช่สิ่งที่ขัดกับพฤติกรรมที่สะท้อนผ่านคดีความต่างๆ ทั้งตัวเองและคนในครอบครัว ที่มักออกมาเป็นตรงกันข้ามอยู่เสมอ
สำหรับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นาทีนี้ ถือว่าเป็นนักการเมืองเต็มตัว ไม่ใช่มีสถานะแบบนักศึกษา นักกิจกรรมในอดีต ที่วิพากษ์วิจารณ์คนอื่น และวิจารณ์สังคมได้อย่างไหลลื่นเหมือนที่ผ่านมา เพราะเมื่อเป็นนักการเมือง การจะตรวจสอบ หรือวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น หรือจะชี้นำสังคมนั้น ตัวเองต้องมี “ความชอบธรรม” มีความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา ไม่ใช่พูดอย่าง ทำอีกอย่าง หรือสร้างกระแสเอามัน กลบเกลื่อนพฤติกรรมที่น่าสงสัยของตัวเองหรือไม่
เพราะหากเริ่มจากเรื่องการเรียกร้องเรื่อง “คนเท่ากัน” ก็จะพบว่าเมื่อย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน บริษัทในเครือธุรกิจของครอบครัวที่เกี่ยวกับชิ้นส่วนอะไหล่ยนต์ ในภาคตะวันออก มีการไล่ออกพนักงานจำนวนหนึ่ง หลังจากมีความพยายามในการจัดตั้งสหภาพแรงงาน เพื่อเรียกร้องสิทธิในเรื่องการจ้างงาน และเรื่องดังกล่าวถูกแฉมาจาก นายใจ อึ๊งภากรณ์ มาแล้วเมื่อปี 2561 เมื่อครั้งที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กำลังตั้งพรรคอนาคตใหม่ ร่วมกับคู่หู คือ นายปิยบุตร แสงกนกกุล โดยอ้างว่า เพื่อต่อสู้กับเผด็จการ และเปลี่ยนแปลงสังคมอะไรประมาณนั้น
ถัดมาก็มีเรื่องการ “ถือหุ้นสื่อ” บริษัท วี-ลัคมีเดีย โดยผิดกฎหมาย จนต้องพ้นจากตำแหน่ง ส.ส. และถูกตัดสิทธิทางการเมือง ต่อมาก็มีความผิดเกี่ยวกับเรื่อง “เงินกู้” ให้กับพรรคอนาคตใหม่ มีการคิดดอกเบี้ย ในลักษณะ “อัฐยายซื้อขนมยาย” และในที่สุดก็นำมาสู่การยุบพรรคอนาคตใหม่
อ้อ แต่ก่อนหน้านั้น เขาก็พยายามแสดงให้เห็นว่า การเป็นนักการเมืองต้องโปร่งใส ไม่มีนอกมีในเกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อน โดยอ้างว่า มีการ “โอนหุ้นให้กองทุนบริหารแทน” หรือ “Blind Trust” และอ้างว่า ทำเรื่องนี้เป็นคนแรก แต่กลายเป็นว่าทุกอย่างก็เป็นเพียงแค่สร้างภาพหลอกลวง เพราะมีการตรวจสอบแล้ว ไม่ปรากฏว่า มีการโอนเงินจริง และ “กูรู” ก็ระบุว่า มันไม่มีจริง และพิสูจน์ไม่ได้ เพราะหากบริสุทธิ์ใจจริง ก็ต้องขายขาดไปเลย และต่อมาก็อ้างทำนองว่า รอให้เป็น ส.ส.หรือฝ่ายบริหารเสียก่อนประมาณนี้
ถัดมาก็มีเรื่องการโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ มีความพยายามด้อยค่ามาอย่างต่อเนื่อง ต่างๆ นานา มีทั้งให้กำลังใจและสนับสนุนการเคลื่อนไหวของพวก “ม็อบสามนิ้ว” ที่มีเจตนาล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์มาอย่างต่อเนื่อง แต่กลายเป็นว่า มีคนในครอบครัวใกล้ชิด ที่เป็น “พี่ชาย” ของเขาถูกระบุว่า มีส่วนในการ จ่ายเงิน “ใต้โต๊ะ” ให้กับเจ้าหน้าที่ในสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เพื่อแลกกับการใช้ประโยชน์ในที่ดินย่านทำเลทอง จนเรื่องแดงและถูกดำเนินคดี
ล่าสุด ก็มีเรื่องการครอบครอง และ “บุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ” นับพันไร่ ของตัวเองและคนในครอบครัว คือแม่ และพี่สาว จนถูกทางการเพิกถอนและต้องถูกดำเนินคดีตามมา แต่ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ แม่ของเขากลับระบุว่า “ถูกกลั่นแกล้ง” สาเหตุเป็นเพราะลูกชายเล่นการเมือง ตรวจสอบผู้มีอำนาจ ซึ่งอาจจะใช่หรือไม่ ไม่รู้ รู้แต่ว่า ที่ดินดังกล่าวอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และมีอยู่ในหนังสือครอบครองที่ดิน และยังมีเอกสารยืนยันว่า พวกเขาลงนามรับทราบแล้วว่า เป็นที่ดินที่ครอบครองผิดกฎหมาย และอาจถูกเพิกถอนตามมา
แน่นอนว่า การอ้างว่า ตัวเองครอบครองมานาน 30 ปี ทำไมถึงเพิ่งมาตรวจสอบ และเพิกถอนในตอนนี้ มันเหมือนกับเป็นการกลั่นแกล้ง ก็อาจจะใช่บางส่วน แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะประเด็นก็คือ เป็นเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ หรือไม่ หากใช่ก็ผิดวันยังค่ำ แม้ว่าจะ 40 ปี ก็ต้องผิด หากจะตำหนิก็ต้องตำหนิ หรือตั้งคำถามเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ที่อาจละเลย ทำไมถึงปล่อยเวลามาเนิ่นนานจนถึงวันนี้ ทำไมไม่จัดการให้ถูกต้องมาตั้งแต่แรก จนกลายเป็นข้ออ้างของคนทำผิด ว่า ถูกกลั่นแกล้ง
หากประมวลจากเรื่องราวทั้งหมดที่กล่าวมา มันก็ถือว่าเป็น “เรื่องพิลึก” อย่างยิ่ง ที่นักต่อสู้เพื่อสังคมที่ดีกว่า เพื่อสังคมที่เท่าเทียม กลับมีแต่เรื่องข้อกล่าวหา มีคดีเกี่ยวกับการทำผิดกฎหมายอย่างชัดแจ้ง เพราะหลายคดีมีการพิสูจน์พยานหลักฐานในศาล และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องชัดเจน ไม่ใช่เป็นการกล่าวหากันลอยๆ
ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้น ล่าสุด เขายัง “ประกาศต่อสู้กับการทุจริตในบ้านเมือง” อย่างจริงจัง ระหว่างขึ้นกล่าวสนับสนุนผู้สมัครคนหนึ่งในเมืองพัทยา มันก็ยิ่งต้องตั้งคำถามว่า เขาไม่รู้สึกละอาย หรือขัดเขินอะไรเลยหรือ ทุกคดีที่ทำให้ตัวเองต้องพ้นสภาพ ส.ส.และนำมาสู่การยุบพรรคอนาคตใหม่ ถูกตัดสิทธิทางการเมือง ก็ล้วนมาจากเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการ “ทุจริต” ประพฤติมิชอบด้วยกฎหมายทั้งสิ้น
หรือมีพฤติกรรม และท่าที มีทัศนคติที่เป็นลบกับสถาบันพระมหากษัตริย์ โจมตีด้อยค่าต่างๆ นานา แต่กลายเป็นว่า คนใกล้ชิดในครอบครัวกลับมีเจตนาอยากได้ที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ทำให้ทุกอย่างมันย้อนแย้ง ตรงกันข้ามไปแทบทุกเรื่อง
ดังนั้น หากมองอีกมุมหนึ่งในทางการเมือง มันก็ถือว่าได้ประโยชน์ เพราะอย่างน้อยการเข้าสู่เส้นทางนี้ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มันทำให้มีการตรวจสอบ ทำให้ได้เห็นทุกอย่างได้ “ล่อนจ้อน” ได้เห็นพฤติกรรมย้อนแย้งได้อย่างชัดเจน จนอาจนึกไม่ถึงว่าทัศนคติของเขาไปไกลได้ถึงขนาดนี้ อย่างน้อยก็ได้มองเห็นในมุมขบขันได้แบบสนุกทีเดียว !!