ข่าวปนคน คนปนข่าว
**“ลุงป้อม” มองข้ามช็อต ส่งสัญญาณยุบสภาปลายปี หลังประชุมเอเปก
หลังดินเนอร์กับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล เมื่อสัปดาห์ก่อน และนัดพรรคเล็ก พรรคจิ๋ว ไปจิบกาแฟ รับประทานอาหารว่าง ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ เมื่อสองวันที่ผ่านมา ทำให้ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และผู้จัดการรัฐบาล มั่นใจในเสียงสนับสนุนฝ่ายรัฐบาล ว่า ไม่มีปัญหาแน่
ไม่ว่าจะฝ่าศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่ฝ่ายค้านจองกฐินไว้แล้ว ว่า จะมีขึ้นในเดือน พ.ค.สมัยประชุมหน้า... การพิจารณากฎหมายลูกเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ... กฎหมายการเงินที่สำคัญๆ รวมทั้ง ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2566 จะผ่านฉลุย เพราะทั้งพรรคร่วม และพรรคเล็ก ทุกคนโอเค ที่จะให้การสนับสนุนรัฐบาล
“ลุงป้อม” มองข้ามช็อต ถึงกับประกาศแทน “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่า จะยุบสภาในช่วงปลายปี หลังการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปก ในเดือน พ.ย. โดยให้เหตุผลว่า หลังการประชุมเอเปกแล้วรัฐบาลก็จะว่าง จึงเหมาะที่จะยุบสภาในช่วงนั้น ส่วนจะยุบ หรือไม่ยุบนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี
สำหรับปัญหาระหว่าง “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” ส.ส.พะเยา พรรคเศรษฐกิจไทย กับนายกฯนั้น “ลุงป้อม” บอกไม่มีอะไร ที่ผ่านมา เหมือนมีภาพของการทะเลาะกันนั้น เป็นเพราะสื่อพยายามที่จะให้เขาทะเลาะกัน แถมยังโยงมาให้ตนเอง ทะเลาะกับนายกฯด้วย ทั้งๆ ที่ไม่มีปัญหาอะไรกันเลย
ด้าน “ลุงตู่” ผู้มีอำนาจตัวจริงในการยุบสภา กล่าวถึงเรื่องนี้ ว่า สถานการณ์จะเป็นตัวกำหนด... “พล.อ.ประวิตร ท่านเป็นคนพูด และท่านได้ชี้แจงให้ผมทราบแล้ว โดย พล.อ.ประวิตร พูดในมุมของท่าน แต่ทั้งหมดเป็นเรื่องของนายกฯ” เมื่อถามว่า จะยุบสภาเมื่อไหร่ นายกฯ กล่าวว่า เมื่อไหร่ ก็เมื่อนั้น เป็นเรื่องของนายกฯ ที่จะตัดสินใจ ก็ต้องเก็บไว้ก่อน ทำไมต้องรีบบอก...
ส่วนหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล อย่าง “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า จะยุบสภาเมื่อไร อยู่ที่การตัดสินใจของนายกฯ แต่พรรคก็ได้เตรียมพร้อมที่จะเลือกตั้งตลอดเวลาอยู่แล้ว และการที่สามารถกำหนดอะไรล่วงหน้าได้เช่นนี้ แสดงว่า รัฐบาลมีเสถียรภาพ มีความเป็นเอกภาพ ที่จะดำเนินการอะไรตามแผนได้
และหาก “ลุงตู่” จะยุบสภา ตามไทม์ไลน์ที่ “ลุงป้อม” กำหนดมา จะเป็นการส่งสัญญาณถึงพรรคการเมือง นักการเมือง ภาคธุรกิจ ให้เตรียมตัวรับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองล่วงหน้าถึง 9 เดือน
ทั้งนี้ การประชุมเอเปก จะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 14-19 พ.ย. 65 หาก “ลุงตู่” ประกาศยุบสภาในช่วงปลายเดือน พ.ย. หรือในเดือน ธ.ค. ก็ต้องกำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปภายใน 45 วัน แต่ไม่เกิน 60 วัน นับแต่วันพระราชกฤษฎีกาใช้บังคับ การเลือกตั้งก็จะมีขึ้นในเดือน ก.พ. หรือ มี.ค.ปี 66 ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเกือบครบวาระรัฐบาล 4 ปี เพราะการเลือกตั้งครั้งล่าสุด มีขึ้นเมื่อวันที่ 24 มี.ค. 62
หากทุกอย่างเป็นไปตามกำหนดการที่วางไว้ การเลือกตั้งใช้บัตร 2 ใบ ทุกพรรคพร้อมที่จะลงสู่สนามการเลือกตั้งครั้งนี้ ก็นับว่า เป็นการต่อสู้กันทางการเมืองที่น่าจับตาอย่างยิ่ง ...
พรรคเพื่อไทย จะชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ ตามที่เจ้าของพรรคผู้อยู่แดนไกลคาดหวังไว้หรือไม่ เพราะได้เตรียมพร้อมทั้งตัวบุคคลในพื้นที่ และผู้นำทัพอย่าง “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ไว้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี รวมทั้งกระสุนดินดำพร้อมสรรพ ...
ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลเดิม อย่างพลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ และภูมิใจไทย จะกวาดที่นั่งส.ส.ได้มากพอที่จะผนึกกำลังจัดตั้งรัฐบาลกันต่อไปได้หรือไม่
การเลือกตั้งครั้งนี้ นับว่าน่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง!!
**คดีอุ้มฆ่า “อัลรูไวลี” ย้อนกลับมาเล่นงาน “ทวี สอดส่อง” กลั่นแกล้ง “สมคิด บุญถนอม”
งานเข้าแล้วสำหรับ “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคประชาชาติ เมื่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ศาลนัดฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ คดี อท.ที่ 114/2562 ระหว่าง “พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม” ยื่นฟ้อง “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ), “พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันตชัย” หัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน และ “พ.ต.ท.เบญจพล จันทวรรณ” พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ทั้งหมดในตำแหน่งขณะนั้น รวม 3 คน เป็นจำเลยในความผิดต่อหน้าที่
คำร้องของ “พล.ต.ท.สมคิด” ระบุพฤติการณ์โดยสรุปไว้ว่า เมื่อปี พ.ศ. 2552 พ.ต.อ.ทวี อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กับพวกรวม 3 คน ปฏิบัติหน้าที่เป็นคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน คดีพิเศษ ที่ 4/2547 ได้ร่วมกันสอบสวนดำเนินคดี “พล.ต.ท.สมคิด กับพวก” รวม 5 คน เป็นผู้ต้องหา กล่าวหาว่า ร่วมกันฆ่า “โมฮัมเหม็ด อัลรูไวลี” นักธุรกิจชาวซาอุฯ ที่เป็นคดีดัง โดยสอบสวน พ.ต.ท.สุวิชชัย หรือ อัคควุธ แก้วผลึก เป็นพยาน พร้อมอ้างแหวนทองวัตถุพยาน ของกลาง เป็นพยานหลักฐานใหม่ เพื่อสอบสวนรื้อฟื้นดำเนินคดี พล.ต.ท.สมคิด กับพวก ทั้งที่ไม่มีพยานหลักฐานที่จะรับฟังได้ว่า ผู้ต้องหากับพวกร่วมกันกระทำความผิด อีกทั้งในการสอบสวนพยาน ทั้งที่เป็นจำเลยหลบหนีหมายจับตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลอุทธรณ์ (จังหวัดมีนบุรี) ให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ในคดีร่วมกันฆ่า นายฉัตรดำรงพรรณ ไชยเฉลิมภัค เชื้อพระวงศ์ลาว โดยมีพฤติการณ์ส่อว่า จูงใจ ต่อรองเพื่อให้พยานกลับคำให้การ จากเดิมเป็นพยานบอกเล่าไม่เห็นเหตุการณ์ เปลี่ยนเป็นกลับคำให้การว่า เห็นเหตุการณ์ ขณะที่ผู้ต้องหากับพวกกระทำผิด พนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้อง พล.ต.ท.สมคิด กับพวกเป็นจำเลย คดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.119/2553 ข้อหาร่วมกันฆ่า “โมฮัมเหม็ด อัลรูไวลี”
ต่อมา ศาลอาญามีคำพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง และศาลฎีกา มีคำพิพากษาที่ 7615/2561 เมื่อวันที่ 22 มี.ค. 62 ยกฟ้อง พล.ต.ท.สมคิด กับพวกรวม 5 คน
“พล.ต.ท.สมคิด” จึงนำคดีมาฟ้อง “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” กับพวกรวม 3 คน ในข้อหา ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ และเป็นเจ้าพนักงาน และพนักงานสอบสวน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อจะแกล้งให้ผู้หนึ่งผู้ใดต้องรับโทษในคดีอาญา ทุจริตและประพฤติมิชอบ อท.ที่ 114/2562
ต่อมา เมื่อวันที่ 19 ก.พ. ที่ผ่านมา ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ได้มีคำสั่งประทับฟ้องความผิดฐานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ไว้ 1 ข้อหา และยกฟ้องข้อหาเป็น พนักงานสอบสวน เจ้าพนักงานที่มีอำนาจสืบสวน กระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดๆ ในตำแหน่งอันเป็นการมิชอบ เพื่อจะแกล้งให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดต้องรับโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา โจทก์ยื่นอุทธรณ์
การนัดฟังคำสั่งครั้งนี้ พ.ต.อ.ทวี, พ.ต.อ.สุชาติ และ พ.ต.ท.เบญจพล จำเลยทั้ง 3 เดินทางมาศาลโดยจำเลยทั้ง 3 อยู่ระหว่างการปล่อยชั่วคราวในข้อหาที่ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ที่มีคำสั่งประทับฟ้องในคดีร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ เห็นว่า “พ.ต.ท.ทวี สอดส่อง” จำเลยที่ 1 กับพวกเป็นพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษคดีอุ้มฆ่า “โมฮัมเหม็ด อัลรูไวลี” นักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบีย สอบสวนดำเนินคดีผู้ต้องหา โดยนำ “พ.ต.ท.สุวิชชัย แก้วผลึก” มาสอบสวนเป็นพยาน มีพฤติการณ์จูงใจ ต่อรองเพื่อให้กลับคำให้การ และนำพยานไปยื่นคำร้องขออนุญาตศาลสืบพยานก่อนฟ้อง ทั้งที่ไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามกฎหมายเป็นการเอาเปรียบผู้ต้องหาไม่ให้มีโอกาสต่อสู้คดี ทำให้ได้รับความเสียหาย และกล่าวหาดำเนินคดีทั้งที่ไม่มีพยานหลักฐานตามสมควรว่าผู้ต้องหากับพวกน่าจะได้กระทำผิดตามข้อหานั้น จึงมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นประทับฟ้อง “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” กับพวกรวม 3 คน รวม 4 กระทงความผิดต่างกรรมต่างวาระกัน ในข้อหา เป็นเจ้าพนักงาน ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ และเป็นพนักงานสอบสวน เจ้าพนักงานที่มีอำนาจสืบสวน กระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดๆ ในตำแหน่งอันเป็นการมิชอบ เพื่อจะแกล้งให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดต้องรับโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, มาตรา 157 และมาตรา 200 วรรคสอง ไว้พิจารณาต่อไป พร้อมนัดสอบคำให้การจำเลยทั้ง 3 เพิ่มเติมและกำหนดนัดสืบพยานในวันที่ 6 พ.ค. 65 เวลา 09.00 น.
นี่เรียกว่า เป็นเรื่องของการกระทำในอดีตไล่ล่า พ.ต.อ.ทวี โดยแท้ ซึ่งก็ต้องติดตามผลกันต่อไป