รองโฆษกรัฐบาล เผย ครม.เห็นชอบร่าง MOU ขยายความร่วมมือด้านไฟฟ้าไทย-ลาว มุ่งซื้อขายพลังงานสะอาดในภูมิภาค หลังอนุมัติขยายกรอบมาแล้ว 4 ครั้ง
วันนี้ (1 มี.ค.) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจความร่วมมือในการพัฒนาไฟฟ้าในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ซึ่งร่างบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างไทยและ สปป. ลาว และให้ความสำคัญกับการซื้อขายพลังงานสะอาดในภูมิภาคซึ่งจะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงเป็นการเสริมสร้างโอกาสทางการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศในรูปแบบต่างๆ ซึ่งขอบเขตความร่วมมือในครั้งนี้ มุ่งขยายความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้า โดยเพิ่มปริมาณกำลังการผลิตขึ้นอีก 1,500 เมกะวัตต์ จากปริมาณกำลังผลิตเดิม 9,000 เมกะวัตต์ รวมปริมาณกำลังผลิตเป็น 10,500 เมกะวัตต์ เพื่อขายพลังงานไฟฟ้าให้กับไทย โดยมีการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเป็นผู้รับผิดชอบการซื้อขายไฟฟ้า สำหรับขอบเขตความร่วมมือในด้านอื่นๆ อาทิ 1) การจัดตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาร่วมกันในรายละเอียดเชิงเทคนิค 2) พัฒนาไฟฟ้าจากแหล่งเชื้อเพลิงความร้อน พัฒนาระบบโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าและระบบขายปลีกไฟฟ้า ใน สปป.ลาว 3) จัดสรรทรัพยากรน้ำ รวมถึงความร่วมมืออื่นๆ ในการลดการปล่อยคาร์บอน 4) พิจารณาการก่อสร้างระบบสายส่งไฟฟ้าข้ามพรมแดนของแต่ละประเทศ รวมถึงเชื่อมโยงกับระบบสายส่งเดิมกับประเทศที่สาม ทั้งนี้ การขยายกรอบดังกล่าวยังอยู่ภายใต้กรอบความมั่นคงทางพลังงาน ที่กำหนดให้การรับซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศประเทศใดประเทศหนึ่งได้ไม่เกินร้อยละ 13 ของกำลังการผลิตทั้งหมดในระบบ
นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมา ครม.ได้มีมติอนุมัติ/เห็นชอบการขยายกรอบปริมาณรับซื้อไฟฟ้าระหว่างไทย กับ สปป.ลาว ในลักษณะดังกล่าวมาแล้ว 4 ครั้ง โดยปัจจุบันประเทศไทยรับซื้อไฟฟ้า หรือลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ สปป.ลาว แล้ว จำนวน 5,935 เมกะวัตต์ ส่งผลให้กรอบปริมาณรับซื้อไฟฟ้าภายใต้บันทึกความเข้าใจ ฉบับวันที่ 6 กันยายน 2559 มีปริมาณรับซื้อไฟฟ้าคงเหลือ 3,065 เมกะวัตต์ การขยายกรอบปริมาณรับซื้อไฟฟ้าในครั้งนี้ จะทำให้ไทยมีปริมาณรับซื้อไฟฟ้าคงเหลือ 4,565 เมกะวัตต์ ซึ่งกระทรวงพลังงานคาดว่าจะเพียงพอต่อการจัดหาพลังงานสะอาดที่มีต้นทุนการผลิตต่ำ เพื่อเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศควบคู่กับการสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายในปี 2608 (ค.ศ. 2065)