เมืองไทย 360 องศา
เชื่อว่าหลายคนคงจะยินดีกับข่าวที่ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ “เพนกวิน” และ นายอานนท์ นำภา สองผู้ต้องหาและจำเลยในคดีความผิด มาตรา 112 และคดีอาญาอีกมากมาย ได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว หรือประกันตัวออกมาระหว่างการพิจารณาคดี เพราะถือว่าเป็นการต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรมตามที่ควรจะเป็นสำหรับ “คนทั่วไป” เป็นหลักการพื้นฐาน
แต่สำหรับพวกเขา ซึ่งแยกพิจารณาเฉพาะสองรายนี้ก่อน ถือว่าเป็นข้อยกเว้น หรือ “ผิดแผกไปจากคนอื่น” เนื่องจากหากเทียบเคียงกับผู้ต้องหาส่วนใหญ่ในประเทศนี้ ทั้งที่ถูกพิพากษาความผิดและถูกคุมขังในเรือนจำแล้ว และยังอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีก็ตาม ทั้งสองคนนี้มีการ “กระทำ(ผิด)ซ้ำๆ” แบบไม่หยุดและต่อเนื่อง จนสะสมคดีที่ถือว่าเป็นคดีอาญาที่มีอัตราโทษสูงหลายสิบคดี
ที่ผ่านมา พวกเขาจะตั้งคำถามว่า ทำไมไม่ได้รับการประกันตัว หรือปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างการพิจารณาคดี และยังถือว่า “เป็นผู้บริสุทธิ์” ตราบใดที่ศาลยังไม่ได้พิพากษาความผิด ซึ่งก็ถือว่าเป็นการอ้างอิงทางกฎหมายที่ไม่ผิด แต่ขณะเดียวกัน มันก็ยังมีกฎหมายที่คุ้มครองคนอื่นเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น หากผู้ต้องหายังไม่หยุดพฤติกรรมแบบเดิม ยังใช้คำพูดแบบเดิม หรือยังเคลื่อนไหวแบบเดิม ไปด่าทอ หรือยังไม่หยุดทำร้ายคนอื่นที่เคยถูกฟ้องร้องดำเนินคดีมาแล้ว หากยังไม่หยุด ก็มีสิทธิถูกบังคับให้หยุด นั่นคือ ไม่ให้ประกันตัว และต้องถูกนำไปควบคุมตัวเอาไว้ก่อนจนกว่าจะมีการพิจารณาคดีเสร็จสิ้น หรือไม่ก็ต้องยอมรับใน “เงื่อนไข” ของศาลให้ได้ หากทำไม่ได้แล้วยังมีพฤติกรรมแบบเดิม ก็จะถูกเพิกถอนการประกันตัว เหมือนกับผู้ต้องหาดังกล่าวที่ก่อนหน้านี้เคยได้รับการประกันตัวออกมาแต่ยังไม่หยุด ยังมีการเคลื่อนไหวในลักษณะเดิมอีก ก็ต้องกลับเข้าที่คุมขังตามที่ถูกร้องนั่นเอง
แต่ที่ต้องย้ำแบบทำความเข้าใจกัน ก็คือ ผู้ต้องหา หรือจำเลยคนอื่น “ส่วนใหญ่ในประเทศไทย” เป็นแบบนี้หรือไม่ ก็ต้องตอบว่า “ไม่มี” หรือมีก็น้อยมากๆ อย่างมากก็มีเพียงแค่คดีสองคดี ก็หยุดแล้ว ต่อสู้คดีตามกระบวนการกันไปจนจบ ถูกจำคุก หรือยกฟ้องก็ว่ากันไป ไม่มีการกระทำในแบบที่ถูกฟ้องร้องในคดีแบบเดิมซ้ำๆ อีก และสำหรับ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ “เพนกวิน” หากพิจารณาตามข้อมูลคร่าวๆ แล้ว ถูกดำเนินคดีและบางคดีกำลังอยู่ระหว่างพิจารณาในชั้นศาล รวมแล้วไม่ต่ำกว่ายี่สิบคดี ว่ากันเฉพาะคดีที่ถูกฟ้องตามความผิด มาตรา 112 ที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ ที่เป็นองค์ประมุขของชาติ และสถาบันฯ ซึ่งถือว่าเป็นคดีร้ายแรง และมีอัตราโทษสูง
อย่างไรก็ดี หากพิจารณากันในส่วนของแรงจูงใจ หรือแรงผลักดันของผู้ต้องหา หรือจำเลยพวกนี้มาจากอะไรกันแน่ ที่ทำให้พวกเขายังมีความกล้าในการเคลื่อนไหวในลักษณะซ้ำๆ ซึ่งแค่ละคดีล้วนเป็นคดีโทษสูง จะว่าไม่รู้กฎหมายก็ไม่น่าจะจริง เพราะบางคนมีอาชีพเป็นทนายความ ทำมาหากินอยู่กับกฎหมาย ย่อมต้องรับรู้ถึงเรื่องแบบนี้ดี หรือ นายพริษฐ์ ก็เป็นนักศึกษาถือว่ามีความรู้ น่าจะไม่ใช่ทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์แน่นอน
แต่ที่ทำไปอาจเป็นเพราะประเมินว่า “มีแบ็กดี” อีกทั้งยังเชื่อว่าในตอนนั้น “กระแสดี” มีมวลชนเข้าร่วมมาก ประกอบตัวเองยังเป็นวัยรุ่นหนุ่มสาว มีความคึกคะนอง มีคนโห่ร้องสนับสนุนทำให้เกิดความคึกฮึกเหิม เหมือนกับบางคนที่เคยเป็นแกนนำม็อบเคยบอกว่าเมื่อขึ้นเวทีแล้ว “อารมณ์มันพลุ่งพล่าน” แต่พอเดินลงจากเวทีแล้ว หรือเวลาผ่านไปต้องเดินขึ้นศาลอย่างเดียวดาย คนที่เคยโห่ร้องกระทืบเท้าล้วนหายหน้า หรือลดน้อยลงไปจนแทบจะนับหัวได้ และที่สำคัญต้องต่อสู้คดีกันนานนับปี มีแต่ความทุกข์ความเครียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องมีค่าใช้จ่ายจำนวนมาก
ขณะเดียวกัน เมื่อย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ สำหรับ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ “เพนกวิน” เคยประกาศว่าขอเดินตามรอย “เนลสัน เมนเดลา” รัฐบุรุษของประเทศแอฟริกาใต้ นักต่อสู้เพื่อปลดแอกจากการถูกดขี่ ความเท่าเทียม ซึ่งในความเป็นจริงแล้วบริบทในยุคนั้นกับยุคนี้ก็ต่างกันลิบ และต่างกับประเทศไทยแบบเทียบกันไม่ได้ และที่สำคัญ “เมนเดล่า” ติดคุก และถูกทรมานจากรัฐบาลผิวขาวมานานนับสิบปี และทำให้เกิด“ความรู้สึกร่วม” ไปทั้งโลก
แต่สำหรับบ้านเรา สถานการณ์มันไม่ได้เป็นแบบที่ “เมนเดล่า” เคยเป็น อีกไม่กี่เดือนก็จะมีการเลือกตั้งแล้ว หากไม่ชอบผู้นำคนปัจจุบัน ไม่ชอบรัฐบาลก็สามารถเปลี่ยนแปลงด้วยการเลือกตั้งที่คาดว่าไม่เกินต้นปี 2566 แต่เวลานี้ “เพนกวิน” กับ “อานนท์” เวลานี้ก็ไม่อยากติดคุกแล้ว รวมไปถึง “แกนนำม็อบสามนิ้ว” คนอื่นๆ ที่ได้รับการประกันตัวออกมาเกือบหมดแล้ว
คำถามก็คือว่า ก่อนหน้านี้ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ กับพวกเคยประกาศว่า “จะไม่ขอประกันตัว” อีกต่อไป และยังไม่ให้ทนายความดำเนินการในเรื่องนี้อีกด้วย พร้อมกับการโจมตีกระบวนการทางศาล และกระบวนการยุติธรรมอย่างรุนแรง หลังจากที่เคยยื่นประกันตัวมาแล้วหลายครั้ง และศาลยกคำร้อง โดยว่าไม่ได้รับความยุติธรรมตามหลักสากล ทั้งที่ในความเป็นสาเหตุที่ไม่ได้รับการประกัน หรือถูกเพิกถอนประกันก็มาจากสาเหตุเดียวก็คือ “ไม่หยุดการเคลื่อนไหว” ในแบบเดิมที่เป็นเหตุให้ถูกฟ้องดำเนินคดี ทั้งคดีมาตรา 112 และพ่วงคดีอาญาอื่นๆ ในลักษณะที่ไม่เกรงกลัวกฎหมาย
แต่มาวันนี้กลับมีท่าทีเปลี่ยนไปแบบ “หักมุม” นั่นคือ ยอมรับเงื่อนไขกับศาลหน้าตาเฉย ยอมแม้กระทั่ง “ติดกำไลอีเอ็ม” ที่ข้อเท้า ซึ่งสาเหตุที่เปลี่ยนไปแบบนี้ คนทั่วไปอาจไม่ทราบ แต่อาจเป็นเพราะการติดคุก “มันไม่สนุก” เหมือนอยู่ข้างนอกแน่นอน เพราะไม่ว่าจะเป็นระดับวีไอพีแค่ไหน มันก็ร้อน นอน ขับถ่ายไม่สะดวก ยิ่งหากใครตัวอ้วน มีน้ำหนักมาก มีโรคประจำตัว ยิ่งลำบากเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า และที่สำคัญ “กระแส” มันไม่คึกคักเหมือนเดิม การชุมนุมให้ “ปล่อยเพื่อนเรา” หน้าศาลก็มีคนไปยืนนิ่งๆ 112 นาที ก็มีแค่สี่ห้าคน มันก็เบาหวิว
อีกทั้งเมื่อมองไปรอบตัว เวลานี้ ทั้ง “รุ้ง” น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ที่อ้างเรื่องอนาคตทางการศึกษา ยอมรับเงื่อนไข รวมทั้งคนอื่นๆ เช่น จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ “ไผ่ ดาวดิน” ที่อ้างเรื่องต้องดูแลมารดาประสบอุบัติเหตุ นายภาณุพงศ์ จาดนอก ที่อ้างต้องไปช่วยดูแลธุรกิจขายทุเรียนทอดกับมารดา เป็นต้น หรือแม้แต่ น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว ที่เพิ่งประกาศจะเป็นผู้สมัคร ส.ส.สังกัดพรรคก้าวไกล ในจังหวัดปทุมธานี คนพวกนี้ก็ได้รับการประกันตัวออกมาแล้ว เมื่อหันมามองตัวเองมันก็อาจ “โหวงเหวง” พิกล
ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนไป ก็ต้องเปลี่ยนตาม “เมนดาลากวิ้น” อาจทนไม่ไหว ไม่อยากติดคุกแบบ “เมนเดลา” อีกแล้ว หรืออาจจะเปลี่ยนเส้นทางมาเป็นนักการเมืองเต็มตัว ลงสมัครในนามพรรคก้าวไกล ก็ไม่มีใครขัดคอ และยอมรับเงื่อนไขศาลตั้งแต่แรก ไม่ดันทุรังสร้างกระแสป่วน มันก็ได้รับการปล่อยตัวออกมาตั้งนานแล้ว แต่การที่ก่อนหน้านี้เคยประกาศว่าไม่ต้องให้ทนายความทำเรื่องขอประกันตัว แต่วันนี้เปลี่ยนไปแบบ “กลืนน้ำลาย” มันก็ช่วยไม่ได้ ที่จะถูกปรามาส เย้ยหยันแบบนี้แหละว่าเป็น ของจริง หรือแค่เด็กๆ !!