xs
xsm
sm
md
lg

“บิ๊กตู่” ย้ำ “พิษโควิด” ทำ “สินค้าแพง-เงินเฟ้อ” ทั่วโลกโดนหมด บอกไทยรับมือดี-ขอพาชาติพ้นวิกฤต

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“บิ๊กตู่” โพสต์แจงโซเชียล ย้ำ สถานการณ์สินค้าแพง-เงินเฟ้อ จากปัญหาโควิด-19 สรุป 5 ข้อประเด็นหลัก ปัญหาทั่วโลกประสบวิกฤต บอกไทยสามารถรับมือได้ดีกว่าประเทศส่วนใหญ่ในโลก ลั่นจะไม่หยุดคิดหยุดทำในการแก้ปัญหา เพื่อให้ประเทศไทยพ้นจากวิกฤต

วันนี้ (18 ก.พ.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว “ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha” ระบุว่า

พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่านครับ

ในประเด็นสินค้าราคาแพงและสถานการณ์เงินเฟ้อ ที่เป็นผลสืบเนื่องจากวิกฤตโควิด-19 ยังคงเป็นหัวข้อที่พี่น้องประชาชนให้ความสนใจ ติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการแก้ไข เยียวยา และฟื้นฟูอย่างใกล้ชิด โดยมีข้อมูลหลายส่วนที่ผมได้นำเสนอในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรแล้ว และเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในการสร้างการรับรู้และเข้าใจกับพี่น้องประชาชน รวมทั้งสื่อมวลชน ดังนั้นผมจึงขอสรุปเป็นประเด็นที่กระชับและชัดเจนอีกครั้ง ดังนี้

1. วิกฤตโควิด-19 ส่งผลให้ราคาสินค้าแพงและเงินเฟ้อทั่วโลก และรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเห็นมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเฉพาะช่วงปี 2564 (ข้อมูล : Bloomberg) ที่ถือว่าการผลิตและความต้องการสินค้าและบริการของโลกเปลี่ยนแปลงแบบไม่ปกติอย่างมาก และไม่สมดุล
2. ปี 2564 เงินเฟ้อของไทยอยู่ที่ 1.2% ในขณะที่อินเดียมีเงินเฟ้อ 10.6% สหรัฐอเมริกา 4.7% ญี่ปุ่น 2.6% มาเลเซีย 2.5% สิงคโปร์ 2.3% และเวียดนาม 1.9% (ข้อมูล : กระทรวงการคลัง และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ)
3. ปัจจัยที่เป็นสาเหตุของการเกิดเงินเฟ้อทั่วโลกที่สำคัญ ได้แก่ (1) มาตรการทางสาธารณสุข ที่จำกัดการเปิดกิจการ และการเดินทาง โดยเฉพาะการปิดเมือง (2) การจำกัดการเดินทาง ทำให้การขนส่งสินค้าหยุดชะงัก ส่งผลให้ค่าขนส่งสินค้าและค่าระวางเรือเพิ่มสูงขึ้นหลายเท่าตัว (ข้อมูล : ดัชนีค่าขนส่งด้วยตู้ Container ในช่วงปี 2563 – 2564 โดย Drewry world container index)
4. ตัวอย่างราคาสินค้าและบริการที่พุ่งสูงขึ้นทั่วโลกในช่วงวิกฤติโควิด เช่น (1) ราคารถยนต์มือสองในอเมริกาสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน (2) ราคาค่าเช่าบ้านในอเมริกาสูงขึ้นกว่า 12% ในปี 2564 (3) ราคาก๊าซหุงต้มพุ่งสูงขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในทวีปยุโรปนั้น เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว จาก 10 ดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2564 เป็น 24-25 ดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2565 (4) ราคาน้ำมันดิบในปี 2564 ปรับตัวสูงขึ้นกว่า 60% จาก 47.9 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มเป็น 77.4 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เป็นต้น
5. หากเปรียบเทียบกันแล้ว ประชาชนชาวไทยถือว่าได้รับผลกระทบน้อยกว่าหลายประเทศ เช่น (1) ค่าน้ำมันดีเซลในไทย สูงขึ้น 20% ในขณะที่คนอังกฤษต้องจ่ายค่าน้ำมันแพงขึ้นเกือบ 30% และคนอเมริกาต้องจ่ายแพงขึ้น 46% (2) ในปี 2564 คนไทยยังคงเสียค่าไฟฟ้าเท่าเดิม แต่ในอังกฤษต้องจ่ายเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว (3) ราคาอาหารทั่วโลกเพิ่มขึ้นสูงถึง 28% ในปี 2564 แต่ราคาอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคของไทย (ไม่รวมแอลกอฮอล์) ราคาโดยรวมเพิ่มสูงขึ้นเพียง 0.77%

นอกจากนั้น ท่ามกลางวิกฤตโลก รัฐบาลไทยสามารถแสวงหาโอกาส โดยสามารถเพิ่มปริมาณการส่งออกสินค้าเกษตร เช่น ผัก เพิ่มขึ้นถึง 63,000 ล้านบาท รวมมูลค่าการส่งออกกว่า 191,000 ล้านบาท ในปี 2564 และที่สำคัญ รัฐบาลยังตั้งเป้าหมาย มุ่งเน้นการแก้ปัญหาหนี้สินของพี่น้องประชาชนอย่างเอาจริงเอาจัง โดยประกาศให้ปี 2565 เป็น “ปีแห่งการแก้หนี้ภาคครัวเรือน” โดยใช้ระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า (TPMAP : Thai People Map and Analytics Platform) มาใช้เป็นฐานข้อมูลหลัก เพื่อคัดกรองและชี้เป้าที่แม่นยำ ดำเนินการแก้ปัญหาความยากจนพร้อมกันใน 5 มิติ คือ มิติสุขภาพ - ความเป็นอยู่ - การศึกษา - รายได้ - การเข้าถึงบริการภาครัฐ เป็นรายครัวเรือน ด้วย “ชุดปฏิบัติการแก้จน” ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง ครอบคลุมไปถึงการแก้ปัญหาทั้งหนี้กองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) หนี้เช่าซื้อรถยนต์และจักรยานยนต์ หนี้สินข้าราชการ-ครู-ตำรวจ หนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ไปจนถึงสร้างกลไกการไกล่เกลี่ยและการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจและ SMEs การเข้าถึงแหล่งเงินทุนของประชาชนรายย่อยและ SMEs รวมทั้งการปรับปรุงขั้นตอนในกระบวนการยุติธรรมเพื่อเอื้อให้เกิดการแก้ไขปัญหาหนี้สิน ซึ่งผมเชื่อว่าจะช่วยบรรเทาปัญหาหนี้สินของพี่น้องประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรมภายในปีนี้

โดยสรุปแล้ว กล่าวได้ว่า ชาวโลกกำลังประสบปัญหาเดียวกับไทยเราในเรื่องสถานการณ์ราคาสินค้าและเงินเฟ้อ ที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก แต่ตัวเลขต่างๆ ที่ผมกล่าวไปข้างต้น เป็นเครื่องยืนยันได้ว่า ประเทศไทยสามารถรับมือได้ดีกว่าประเทศส่วนใหญ่ในโลก ซึ่งไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากการบริหารสถานการณ์ของรัฐบาล ที่มีการเตรียมความพร้อมล่วงหน้า และที่สำคัญคือความร่วมมือกันจากทุกภาคส่วนของไทยเรา ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีมาตรการลดภาระให้กับประชาชนอย่างเต็มที่ ในทุกๆ ด้าน ทั้งการรักษาพยาบาล ค่าครองชีพ การเยียวยา ซึ่งรัฐบาลทำมาอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงเวลาของสถานการณ์วิกฤติที่เกิดขึ้น ซึ่งแม้ต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก แต่ก็เป็นสิ่งที่ต้องทำเพื่อลดความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนให้มากที่สุด และช่วยให้ประเทศชาติไม่เสียหายไปมากเท่าที่มีการคาดการณ์ และยังรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจไว้ได้อย่างดี ซึ่งที่ผ่านมาเราเริ่มเห็นตัวเลขดีขึ้นเรื่อยๆ แล้ว และผมจะไม่หยุดคิดหยุดทำในการแก้ปัญหา เพื่อให้ประเทศไทยพ้นจากวิกฤต และดีขึ้นในทุกๆ วันครับ




กำลังโหลดความคิดเห็น