“ประยุทธ์” ประชุม ครม.นาน 40 นาที ปมรถไฟฟ้าสายสีเขียว ลั่นถามชี้แจงมาหลายรอบแล้ว ข้อทักท้วงยังเหมือนเดิม ลั่นต้องตัดสินใจร่วมกัน “ถ้าผมโดนฟ้องทุกคนก็ต้องโดนฟ้องด้วย” แจง “อัยการสูงสุด-กฤษฎีกา” ดูแล้วไม่ขัดข้อกฎหมาย
วันนี้ (8 ก.พ.) เมื่อเวลา 09.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เต็มคณะครั้งแรก หลังจากที่ว่างเว้นไประยะหนึ่ง เนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน โดย เลขาฯ ครม.แจ้งให้ที่ประชุม ครม.ทราบถึงวาระการประชุมเรื่องขอความเห็นชอบผลการเจรจาและเห็นชอบร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ วาระที่ 3 ขอเลื่อนไปเป็นวาระสุดท้าย เนื่องจากเห็นว่าใช้เวลาหารือนาน ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติเพราะถ้าเรื่องใหญ่จะใช้เวลาหารือนาน และมักจะเรียนมาไว้ในช่วงท้ายการประชุม ซึ่งประเด็นดังกล่าวถือเป็นการชี้แจงเป็นของกระทรวงมหาดไทย ให้กระทรวงคมนาคมทราบเป็นครั้งที่ 10 แล้ว ส่วน ครม.ถือเป็นครั้งที่ 3 แต่ล่าสุด เมื่อวันที่ 7 ก.พ.ที่ผ่านมา กระทรวงคมนาคมได้ส่งข้อสังเกตและข้อทักท้วงเข้ามา
ทั้งนี้ ที่ประชุม ครม.มีการถกเถียงในเรื่องดังกล่าวใช้เวลาพิจารณาวาระดังกล่าวนานถึงประมาณ 40 นาที เนื่องจากที่ประชุมเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของประชาชนไม่ใช่เรื่องของเอกชนหรือของใคร ดังนั้น ควรต้องตัดสินใจได้แล้วไม่เช่นนั้นจะเจอมาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และความจริงแล้วเรื่องนี้ไม่มีอะไรเป็นการแก้สัญญาสัมปทาน ส่วนต่อขยายจากปทุมธานีไปสมุทรปราการ และกทม.ไม่ได้สร้างแต่การรถไฟขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เป็นคนสร้าง แต่ กทม.ไม่มีเงิน แต่ถ้าจะให้ รฟม.และ กทม.ทั้งสองส่วนสร้างรวมกันมันก็บริหารจัดการไม่ได้ก็ต้องโอนมาให้ กทม.บริหารจัดการ แต่เมื่อโอนรางก็ต้องโอนหนี้เข้ามาด้วย ซึ่ง กทม.ไม่สามารถมีเงินจ่ายหนี้ 5 หมื่นกว่าล้าน ที่ตามมาได้ ทั้งค่าก่อสร้าง และค่าเดินรถ ซึ่งวันนี้ยังไม่มีการเก็บเงินในส่วนต่อขยายทั้งสองส่วน เมื่อ กทม.ไม่มีเงินจ่ายก็มาเป็นภาระของรัฐบาลอีก ซึ่งต้องมีดอกเบี้ยตามมาอีก ดังนั้น ทางออกที่ดีที่สุดคือการปรับสัมปทานโดยให้เอกชนมาใช้สัมปทานทั้งเส้น และเอกชนก็ต้องรับหนี้ในส่วนนี้ไปด้วย ซึ่งแบบนี้เป็นไปตามคำสั่งของ คสช.เดิม ที่มองเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง ที่อย่างไรก็จะต้องแก้ปัญหาและทำให้เกิดขึ้นจริงไม่เช่นนั้นก็จะแก้ปัญหาไม่ได้
นอกจากนี้ ยังมีรัฐมนตรีหลายคนแสดงความเห็นว่า อาทิ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ และ นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ว่า จะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องสำคัญให้ตัดสินใจกันว่าจะเอาหรือไม่เอา ซึ่งเรื่องนี้อัยการสูงสุดและกฤษฎีกา ดูกฎหมายรอบคอบแล้ว ไม่มีอะไรผิดในข้อกฎหมาย
ด้าน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวว่า อยากให้ฟังเหตุผลและเข้าใจการดำเนินการ อย่าไปเปรียบเทียบกับต่างประเทศ เพราะบริบทต่างกันและอย่าเอาแต่ด่าอย่างเดียว ทั้งนี้ ในที่ประชุมขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปชี้แจงทำความเข้าใจกับกระทรวงคมนาคมประกอบเป็นข้อมูลเข้ามาใน ครม.ในครั้งหน้า
ขณะที่ นายกฯ กล่าวสอบถามความเห็นว่าจะเอาอย่างไรกัน ถ้าถามแล้วไม่เคลียร์ ก็ให้ไปหาคำตอบแล้วเอากลับมาใหม่ ถามมาหลายรอบแล้ว กระทรวงมหาดไทย ก็ชี้แจงไปแล้ว แต่ยังมีข้อทักท้วงมาเหมือนเดิมอีก และเป็นข้อทักท้วงเดิม ถ้าครั้งหน้าชี้แจงมาแล้วเป็นที่น่าพอใจจะผ่านใช่หรือไม่ และเรื่องนี้จะต้องตัดสินใจร่วมกัน “ถ้าผมโดนฟ้องทุกคนก็ต้องโดนฟ้องด้วย”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกฯ อารมณ์ดีเดินทักทายรัฐมนตรีหลายรอบทั้งในช่วงพักเบรกการประชุมและช่วงเลิกการประชุม พร้อมกล่าวว่า “ครม.หายไปเยอะสงสัยรถไฟฟ้ามาหานะเธอ”