เมืองไทย 360 องศา
ก็ต้องยอมรับความจริงแล้วว่า หลังจากพรรคพลังประชารัฐ พ่ายแพ้การเลือกตั้งซ่อม “แบบม้วนเดียว” สามครั้งติดต่อกันภายในหนึ่งเดือน เป็นใครก็ต้องหวั่นไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรค ย่อมต้องเจ็บปวดมากกว่าใคร ซึ่งอาจเป็นเพราะที่ผ่านมา ประเมินสถานการณ์ผิดพลาด หรือรับฟังข้อมูลบางอย่างจาก “บางคน” โดยเฉพาะความเชื่อมั่นที่เทให้กับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีตเลขาธิการพรรคมากเกินไปหรือเปล่า
อย่างไรก็ดี หากมองอีกมุมหนึ่งความพ่ายแพ้ในแบบที่ “ช็อก” ดังกล่าว ย่อมทำให้มีเวลาได้ทบทวนบางอย่าง รวมไปถึงได้กลับมาประเมินสถานการณ์ใหม่ตามความเป็นจริงมากขึ้น และที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก็ได้เก็บตัวเงียบ หรือที่เรียกว่า “กบดาน” มาสองสามวันแล้ว หลังจากพ่ายแพ้การเลือกตั้งซ่อม เขต 9 กรุงเทพมหานคร อย่างหมดรูป โดยจะเห็นเพียงแค่การประชุมคณะรัฐมนตรี และคณะกรรมการชุดต่างๆ ในรูปแบบประชุมทางไกลเท่านั้น ไม่ได้ปรากฏตัวที่ทำเนียบรัฐบาล หรือให้สัมภาษณ์แต่อย่างใด
แต่ที่น่าจับตาก็คือ การประชุมพรรคพลังประชารัฐที่มีกำหนดมีขึ้นในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ที่สภา หลังจากเลื่อนมาจากวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ซึ่งมีการมองกันว่าเป็นการเลี่ยงการตอบคำถามจากสื่อมวลชน อีกทั้งเพิ่งผ่านพ้นการเลือกตั้งซ่อมที่รับทราบผลการเลือกตั้งไม่กี่ชั่วโมง จึงยังไม่อยากพูดให้เกิดประเด็นทางการเมืองก็เป็นได้
แต่ขณะเดียวกัน หากพิจารณากันภายในพรรคพลังประชารัฐ ทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้งซ่อมครั้งล่าสุด นั่นคือ หลังจากที่มีการขับกลุ่มของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ออกไปแล้ว และล่าสุด มีรายงานว่า พวกเขาจำนวน 18 คน จากจำนวน 21 คน ได้เข้าเป็นสมาชิกพรรคเศรษฐกิจไทยเรียบร้อยแล้ว
แม้ว่าสำหรับคอการเมืองที่ติดตามความเคลื่อนไหวมาอย่างต่อเนื่อง ย่อมประเมินว่า กลุ่มของ ร.อ.ธรรมนัส ยังต้องเป็น “หอกข้างแคร่” กับรัฐบาล โดยเฉพาะกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ต่อไป ซึ่งที่ผ่านมา นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรรมการบริหารพรรค และอดีตผู้อำนวยการเลือกตั้งซ่อมของพรรค ที่เขต 9 ยังเคยระบุว่า “กลุ่มของ ร.อ.ธรรมนัส จะสร้างปัญหาให้กับเสถียรภาพของรัฐบาลในอนาคต” และยังย้ำว่า มีปัญหามาจากการต่อรองเก้าอี้ (รัฐมนตรี)
แต่อีกด้านหนึ่ง เมื่อกลุ่มของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า แยกตัวไปสังกัดพรรคเศรษฐกิจไทยแล้ว แต่ในพรรคพลังประชารัฐ ก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวบางอย่างเกิดขึ้นเช่นเดียวกัน นอกเหนือจากการแต่งตั้ง นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง รองหัวหน้าพรรค และผู้อำนวยการพรรค เป็นรักษาการเลขาธิการพรรคอีกตำแหน่งหนึ่ง ก่อนที่จะมีการแต่งตั้งถาวรกันในอนาคต ซึ่งคาดว่า น่าจะยังเป็น นายสันติ นั่นแหละ
นอกเหนือจากนี้ หากสังเกตจะเห็นความเคลื่อนไหวบางอย่าง ในลักษณะของการ “ชูบทบาท” เพิ่มเติมของบางคนและกลุ่มก๊วนในพรรคพลังประชารัฐ นั่นคือ ความเคลื่อนไหวที่น่าจับตามองของ “กลุ่มสามมิตร” ที่เริ่มกลายเป็นพันธมิตรที่ชัดเจนขึ้นกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
ล่าสุด นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อดีตเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ จากกลุ่มสามมิตร ก็ได้รับบทบาทเป็นประธานคณะกรรมการแก้ปัญหา “สลากเกินราคา” หรือเรียกว่า “หวยแพง” และมี นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ เป็นรองประธาน ซึ่งคณะกรรมการชุดดังกล่าว ถือว่ามีขอบเขตอำนาจในการดำเนินการค่อนข้างกว้างขวาง และมีคณะกรรมการมาจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งตำรวจ อัยการ กระทรวงการคลัง เป็นต้น ล้วนเป็นข้าราชการระดับสูงทั้งสิ้น
ซึ่งผลจากการประชุมนัดแรก เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา ก็มีการตั้ง “ชุดเฉพาะกิจปราบปรามหวยแพง” โดยมี นายเสกสกล อัตถาวงศ์ เป็นหัวหน้าชุด และก่อนหน้านั้น นายอนุชา นาคาศัย ก็เคยระบุว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้ “หวยแพง” ก็มาจาก “ผู้มีอิทธิพล” ทำให้ต้องรอดูว่าการจับกุมนับจากนี้ ภายใต้ชุดเฉพาะกิจที่นำโดย “แรมโบ้เสกสกล” จะพุ่งเป้าไปที่ “ผู้มีอิทธิพลในเครือข่าย ระดับผู้กอง” หรือไม่ เพราะที่ผ่านมา มีข้อมูลว่า เขามีโควตาสลาก อยู่ไม่น้อย มีรายได้ต่อเดือนหลายล้านบาท ตามที่เคยมีการอภิปรายในสภาก่อนหน้านี้
ขณะท่าทีของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แกนนำกลุ่มสามมิตร กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงภายในพรรค ว่า ที่ผ่านมา ภายในพรรคเปลี่ยนแปลงกันมากแล้ว ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ และผลการเลือกตั้งซ่อมเขต 9 ที่ออกมา กับสิ่งที่เขาปรับเปลี่ยนปรับปรุง ก็คิดว่าได้แก้ปัญหาไปแล้ว ต่อไปต้องรอเวลา ทั้งของรัฐบาลและรัฐสภา ที่ยังมีเวลากว่า 1 ปี 2 เดือน ที่จะทำให้เกิดความเข้าใจ ในสิ่งที่คนไม่เข้าใจ คนในพรรคก็จะเข้าสู่หมวดการเมืองอย่างแท้จริง
“ต้องบอกว่า มันเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว สิ่งที่เป็นผลในอดีตก็ได้ปรากฏให้เห็น แล้วแต่คนมองว่าตกต่ำหรือไม่ตกต่ำ ก็ต้องรอดูก้าวเดินต่อไปของพรรค ผมเชื่อว่า ท่านหัวหน้าพรรคคงจะเข้าใจอะไรมากมาย และคงจะต้องก้าวเดินต่อไปจะถอยหลังหรือหยุดไม่ได้”
ส่วนที่มีคลื่นใต้น้ำโพสต์คำว่า “ศัตรูของศัตรูคือมิตร” นั้น เรื่องเล็กๆ ตนไม่สนใจ ส่วนกังวลหรือไม่ว่า ส.ส. 21 คนที่ออกไป จะทำให้เสถียรภาพรัฐบาลสั่นคลอน ย้ำว่า เรื่องจริงอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คิด และทุกคนมีสิทธิ์คิด มีสิทธิ์มอง แต่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงอาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้น อย่าคิดไปก่อน
ส่วนเวลาที่เหลืออยู่ มั่นใจว่า จะกู้วิกฤตศรัทธาของทางพลังประชารัฐอย่างไรนั้น ตอนนี้เรากลับมายืนอยู่ในที่ที่ควรจะเป็น ก็ต้องรอฝ่ายบริหารของพรรคที่จะต้องดำเนินการต่อไป ถ้าเราไม่ทำหรือทำเหมือนเดิมก็อาจจะสู้คนอื่นเขาไม่ได้ เชื่อว่ายังมีเวลาอยู่
เมื่อประเมินจากท่าทีและบทบาทของกลุ่มสามมิตร รวมไปถึงกลุ่มก๊วนอื่นในพรรคพลังประชารัฐเวลานี้ ถือได้ว่าได้หันมาผนึกกำลังกัน หลังจากที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า แยกตัวออกไป โดยเฉพาะการสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อประคองรัฐบาลให้อยู่ครบเทอม ซึ่งเหลือเวลาอีกปีเศษ ขณะเดียวกัน ภายในพรรคก็เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เริ่มจากรักษาการเลขาธิการพรรคเป็น นายสันติ พร้อมพัฒน์ ที่คาดว่า จะต้องมีบทบาทมากขึ้นอย่างแน่นอน และนี่คือ การกลับมาของกลุ่มสามมิตร และพันธมิตรใหม่ !!