เมืองไทย 360 องศา
“พรรคของผมทั้งนั้น” คำพูดของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เมื่อสองสามวันก่อน กล่าวย้ำเมื่อถูกถามถึงเรื่อง 21 ส.ส.ที่ถูกขับออกจากพรรคไปพร้อมกับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีตเลขาธิการพรรค โดยจะต้องไปสังกัดพรรคการเมืองใหม่ ภายใน 30 วัน โดยมีการคาดหมายกันว่าจะเป็นพรรคเศรษฐกิจไทย และถูกระบุว่า เป็น “พรรคสำรอง” ที่เปรียบเหมือนกับเป็น “บ้านเล็ก” เพื่อรองรับเอาไว้
อย่างไรก็ดี เมื่อประเมินสถานการณ์และความเคลื่อนไหวล่าสุด จะเริ่มพบว่า “บางอย่างกำลังเปลี่ยนไป” แม้ว่าตามรายงานยังคงระบุว่า พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ประธานยุทธศาสตร์ของพรรคพลังประชารัฐ คนใกล้ชิดของ “บิ๊กป้อม” จะไปนั่งเป็นหัวหน้าพรรคใหม่ ก็ตาม รวมไปถึงล่าสุด อาจมี นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค อาจโยกไปร่วมกับพรรคใหม่ ซึ่งสามารถทำได้ เนื่องจากทั้งคู่ไม่ได้เป็น ส.ส.
แต่ที่น่าจับตาก็คือ นอกเหนือจาก นายสมศักดิ์ พันธ์เกษม ที่เป็นหนึ่งใน 21 ส.ส.ที่ถูกขับไปพร้อมกับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า จะมาร้องขอให้พรรคพลังประชารัฐ ทบทวนมติขับและขอย้ายกลับมาที่เดิม โดยอ้างว่า ไม่ได้มีการส่วนเกี่ยวข้อง และไม่ได้รับรู้กับพฤติกรรมของ ร.อ.ธรรมนัส ซึ่งต่อมา พล.อ.ประวิตร ตัดบท และให้ไปสังกัดพรรคใหม่แล้ว ยังมีคำพูดของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ และที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ที่ยืนยันว่า เวลานี้ไม่มีความขัดแย้ง และพรรคร่วมรัฐบาลไม่มีความขัดแย้ง ส่วนพรรค พปชร. เชื่อว่า มีความลงตัว และจะเข้มแข็ง เพราะหากไม่เกิดความชัดเจน อย่างในอดีตที่ผ่านมา อาจจะมีการวิพากษ์วิจารณ์จากผู้คน แต่เมื่อชัดเจนอย่างนี้แล้ว ก็มั่นใจว่ารัฐบาลและพรรคการเมืองจะเดินไปได้
ถามว่า ส.ส.ที่อยากจะกลับมาพรรค พปชร. หลังจากถูกขับออกจะขอกลับมา นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เท่าที่ทราบเขาอยากกลับมาจริงๆ แต่ตนไม่ทราบขั้นตอนตามกฎหมายว่าเป็นอย่างไร ต้องถามนักกฎหมายของพรรค ว่าจะทำอย่างไร ตนก็เชียร์ให้เขากลับมา ตัวเขาก็อยากกลับมา แต่มันอยู่ที่กฎหมาย
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการตั้งเลขาธิการพรรคให้เร็วขึ้นหรือไม่ เพื่อให้ทุกอย่างจบ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า แล้วแต่ที่ประชุมพรรค มันไม่มีความขัดแย้งแล้ว เสียดายที่ปฏิเสธตำแหน่งเลขาธิการพรรคไปซะแล้ว
เมื่อถามว่า ปัญหาสภาล่ม จะมีการแก้ไขปัญหาอย่างไร นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ของใหม่ตนว่าดีขึ้น อีกอย่างหนึ่งในสมัยประชุมสภานี้เหลือเวลาอีก 1 เดือน เราตั้งเลขาธิการพรรค และทำอะไรให้เรียบร้อยทุกอย่างก็ลงตัว
ส่วนการอภิปรายไม่ไว้วางใจทั่วไปแบบไม่ลงมตินั้น ทุกคนเตรียมพร้อมที่จะตอบคำถาม และหากเราเตรียมตัวดี จะกลายเป็นว่าเราได้นำเสนอผลงานของแต่ละกระทรวง อาจจะมองดูว่าไม่ดีที่ถูกอภิปราย แต่ตนกลับมองว่าเป็นเรื่องดี ที่ได้มีโอกาสชี้แจง ได้นำเสนอ บางทีเขาบอกว่าที่ตนถูกตั้งกระทู้ถาม ถูกตั้งญัตติบ้าง เขาถามว่าคนถามกับคนตอบ รู้กันหรือเปล่า เพราะเราตอบดีทำดีก็กลายเป็นว่าได้นำเสนอสิ่งดีๆ ให้กับประชาชน
มีรายงานว่า กำลังจะมีการแต่งตั้งให้ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง รองหัวหน้าพรรค และผู้อำนวยการพรรค เป็นรักษาการเลขาธิการพรรค และมีความเป็นไปได้ว่า ในอนาคตเขาอาจจะได้นั่งตำแหน่งนี้
ขณะที่ นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 ใน 21 อดีตสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ที่ถูกขับออกจากพรรค ในกลุ่มร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา เปิดเผยว่า เตรียมแถลงเปิดตัวเข้าสังกัดพรรคการเมืองพรรคใหม่ ในช่วงกลางเดือน ก.พ.นี้ หรือราวๆ วันที่ 10 ก.พ.นี้ ก่อนการเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามมาตรา 152 ของพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ที่คาดว่าจะมีขึ้นวันที่ 16-18 ก.พ. และหลังจากเข้าสังกัดพรรคการเมืองใหม่แล้ว จะต้องมีการปรับระบบต่างๆ ในสภาผู้แทนราษฎร รวมถึงที่นั่ง ส.ส.ในห้องประชุม และสัดส่วนที่นั่งกรรมาธิการ (กมธ.) ต่างๆ เนื่องจากทางกลุ่มมี ส.ส.จำนวน 21 คน
“ขอยืนยันว่า เราทำหน้าที่ ส.ส.พิจารณาร่างกฎหมายโดยยึดผลประโยชน์ของประชาชน และบ้านเมืองเป็นหลัก ไม่ใช่มัดมือให้ยกมือ เพราะการโหวตต้องมีเหตุและผล ไม่มีการตั้งธงไว้ล่วงหน้า” เขากล่าว
แน่นอนว่า เมื่อพิจารณาจากความเคลื่อนไหวทั้งหมดดังกล่าวจะเห็นว่า “หลายอย่างเริ่มเปลี่ยนแปลงไป” อย่างน้อยก็เปลี่ยนไปจากก่อนหน้านี้ ก่อนที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า จะกดดันให้ขับออกจากพรรคพลังประชารัฐ ในตอนนั้นท่าทีเป็นไปด้วยความมั่นใจ และลักษณะแสดงออกแบบ “ต่อรอง” ในลักษณะที่ “ถือไพ่เหนือกว่า” และมั่นใจว่า มีผลสั่นสะเทือนต่อเสียงสนับสนุนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในลักษณะ “เสียงปริ่มน้ำ” และถูกมองว่าต้องการบีบให้มีการปรับคณะรัฐมนตรี
แต่อย่างไรก็ดี กลับกลายเป็นว่า สถานการณ์กำลัง “พลิกกลับ” ทุกอย่างกำลังอยู่ในความไม่แน่นอน โดยเฉพาะกับตัวเลขส.ส.ในพรรคใหม่ ที่ ร.อ.ธรรมนัส กับพวกจะย้ายไปสังกัดว่าจะไปครบทั้ง 21 คนหรือเปล่า หรือว่าจะมีการแยกย้ายไปกลางทาง ไปสังกัดพรรคอื่น ขณะเดียวกัน ในจำนวน ส.ส.ดังกล่าว นาทีนี้ก็ไม่อาจมั่นใจได้เต็มร้อยว่าจะ “ร่วมหัวจมท้าย” กันทั้งหมด โดยเฉพาะหากพิจารณาจากสถานะของพรรคใหม่ที่ “บิ๊กป้อม” ระบุว่า “พรรคของผมทั้งนั้น” นั่นก็หมายความว่า ยังสนับสนุนรัฐบาล มีลักษณะไม่ต่างจาก “พรรคร่วมรัฐบาล” อีกพรรคหนึ่ง
เมื่อเป็นแบบนี้ก็มีความเป็นไปได้ว่าในอนาคตอันใกล้ จะต้องมีการ “ปรับคณะรัฐมนตรี” อย่างน้อย 2 ตำแหน่ง ทดแทนตำแหน่งที่ว่างลง แต่ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณจากคำพูดของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในช่วงที่เกิดเรื่องใหม่ ที่ย้ำว่า “ไม่ยุบสภา-ไม่ปรับคณะรัฐมนตรี” ซึ่งความหมายอาจพุ่งไปที่ ร.อ.ธรรมนัส โดยตรง
แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป ยังมีสถานะพรรคร่วมรัฐบาลเพิ่มขึ้นมามันก็อาจต้องปรับใหม่ เพื่อการันตีเสียงสนับสนุน แต่รับรองว่า รัฐมนตรีใหม่หากจะมีการปรับในอนาคต ยังคงไม่มีชื่อ “ธรรมนัส” แน่นอน วิธีนี้น่าจะเป็นแบบย้อนศร แบ่งแยก และลดความสำคัญ โดยเฉพาะพลังการต่อรอง ซึ่งต้องจับตามองกันอย่างใกล้ชิด เมื่อพิจารณาจากท่าทีใหม่ในกลุ่ม “สาม ป.” ล่าสุดที่ ชู “บิ๊กตู่” เป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคอย่างชัดเจน !!