ข่าวปนคน คนปนข่าว
**งานเข้า “ลุงตู่-วิษณุ” ปมตั้ง “สราวุธ” แทรกแซงฝ่ายยุติธรรม ด้อยค่า “ตบหน้า” ประธานศาลฎีกา!!?
มองข้ามไม่ได้สำหรับกรณีที่มีกลุ่มผู้พิพากษา นำทีมโดย “ศรีอัมพร ศาลิคุปต์” ข้าราชการตุลาการบำนาญ อดีตประธานศาลอุทธรณ์ ภาค 5 ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา “สมชาติ ธัญญาวินิชกุล” ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และ “นรพัฒน์ สุจิวรกุล” รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลาง ได้เข้ายื่นหนังสือต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อวานนี้ (25 ม.ค.) เพื่อขอให้ดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 แก่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี และ “วิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรี ว่า มีพฤติการณ์ปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการศาลยุติธรรม ประเทศชาติและประชาชน และกระทำการที่เป็นการขัดต่อนโยบายรัฐบาลเกี่ยวกับการส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาล และป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ
นี่ไม่ใช่เรื่องที่ร้องกันดาษดื่น หรือ ร้องโดย “นักร้อง” ทั่วไป หากเป็นฝ่ายตุลาการ-ผู้พิพากษา ที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก
เรื่องของเรื่องก็มาจากกรณีที่ ทั้งลุงตู่และวิษณุ ให้ความเห็นชอบแต่งตั้ง “สราวุธ เบญจกุล” อดีตเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม และที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักงานศาลยุติธรรม ที่ถือเป็นเจ้าหน้าที่ในสังกัดสำนักงานศาลยุติธรรม ให้ดำรงตำแหน่งสำคัญในหน่วยงานของรัฐ และเอกชนต่างๆ นอกสำนักงานมากมายกว่า 16 ตำแหน่ง ทั้งๆ ที่ “สราวุธ” นั้น อยู่ระหว่างถูกสอบสวนวินัยร้ายแรง กรณีการจัดซื้อจัดจ้างปรับปรุงอาคารศาลจังหวัดพระโขนง รวมทั้งศาลจังหวัดตลิ่งชัน และศาลจังหวัดมีนบุรี ตามคำสั่งประธานศาลฎีกา และมีการส่งเรื่องมายังสำนักงาน ป.ป.ช. ให้รับดำเนินการสอบสวนแล้ว
ถามว่า ทั้ง “ลุงตู่และวิษณุ” รู้หรือไม่ว่า สถานะของ “สราวุธ” เป็นอย่างไร ก็ต้องบอกว่า เรื่องนี้ปรากฏเป็นข่าวมาอย่างต่อเนื่อง แต่จงใจเมินเฉย ไม่รู้ ไม่เห็น หรือไม่คงต้องถามใจของทั้งสองคนดูเอง
ที่แน่ๆ กลุ่มผู้พิพากษาเห็นว่า ลุงตู่และวิษณุ “ลุยถั่ว” จะด้วยเจตนาอะไรก็ตาม พฤติการณ์ที่ลงนามเห็นชอบแต่งตั้ง “สราวุธ” ก็ปรากฏเป็นประจักษ์ไปแล้ว
เริ่มจากในส่วนของ “ลุงตู่” ในฐานะประธาน ก.ตร. ได้ลงนามในประกาศคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ โดยแต่งตั้งให้ “สราวุธ” ดำรงตำแหน่งรองประธานอนุกรรมการ ในคณะอนุกรรมการ ก.ตร. เกี่ยวกับการอุทธรณ์ด้านวินัยของตำรวจ ซึ่งก็น่าแปลกว่า ตั้งบุคคลที่กำลังถูกตรวจสอบวินัยร้ายแรง มาดูเรื่องวินัยได้อย่างไร
ส่วน “วิษณุ” ที่เห็นๆ ก็มีกรณี การเสนอขอพระราชทานโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกสภามหาวิทยาลัยและกรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุติของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งมีชื่อ “สราวุธ” เป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุติรวมอยู่ด้วย โดยมี “วิษณุ” เป็นผู้ลงนามสนอง
ระหว่าง “วิษณุ”กับ “สราวุธ” ว่ากันว่า มีความใกล้ชิดกันมาก่อนหน้านี้ จากการทำหน้าที่ ในคณะกรรมการคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ซึ่งมีวิษณุ เป็นประธานกรรมการคดีพิเศษ สราวุธ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เมื่อเร็วๆ นี้ เมื่อ 11 มกราคมที่ผ่านมา ทั้ง “ลุงตู่และวิษณุ” ร่วมประชุม ครม.แล้ว มีมติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการการไฟฟ้านครหลวง โดยมีชื่อ “สราวุธ” ดำรงตำแหน่งกรรมการการไฟฟ้านครหลวง ต่ออีก 1 สมัย
ทั้งหลายทั้งปวง กรณีแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญ 3 กรณีดังกล่าว เกิดขึ้นภายหลังประธานศาลฎีกา ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงแล้ว โดยที่ “พล.อ.ประยุทธ์ และ วิษณุ” ย่อมทราบดีว่าต้นสังกัดไม่อาจอนุญาตให้ “สราวุธ” ไปดำรงตำแหน่งอื่นใดนอกราชการศาลยุติธรรมได้ หรือ อย่างน้อยที่สุดก็ควรสอบถามสำนักงานศาลยุติธรรมก่อน
กลุ่มผู้พิพากษาที่ยื่นร้องต่อ ป.ป.ช. จึงเห็นว่า การที่ พล.อ.ประยุทธ์ และ วิษณุ ใช้อำนาจในตำแหน่งแต่งตั้ง หรือเห็นชอบให้ “สราวุธ เบญจกุล” ไปดำรงตำแหน่งต่างๆ โดยพลการ เป็นการแทรกแซงการบริหารงานบุคคลของสำนักงานศาลยุติธรรมนั้น
นอกจากจะเป็นการ “ตบหน้า” ไม่ให้เกียรติต่อตำแหน่งประธานศาลฎีกาแล้ว ยังด้อยค่าและทำลายความน่าเชื่อถือของประธานศาลฎีกาผู้ออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงแก่ “สราวุธ” เสมือนหนึ่งว่า เห็นสำนักงานศาลยุติธรรม ซึ่งรัฐธรรมนูญบัญญัติรับรองความเป็นอิสระไว้ โดยมีเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบในการบริหารงานบุคคลขึ้นตรงต่อประธานศาลฎีกานั้น เป็นหน่วยงานในสังกัดของรัฐบาล อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 193 และขัดแย้งกับนโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับเรื่องการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ที่ได้มีการแถลงต่อรัฐสภาก่อนเริ่มปฏิบัติหน้าที่
รวมทั้งย้อนแย้งกับพฤติกรรมของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ประกาศชักชวนให้ประชาชนร่วมมือกันต่อต้านการทุจริตประพฤติมิชอบ ภายใต้แนวคิดที่ว่า “คนไทยไม่ทนต่อการทุจริต”
กล่าวโดยรวม ทั้ง “ลุงตู่และวิษณุ” กลับส่งเสริมบุคคลที่มีข้อครหาเกี่ยวกับเรื่องการทุจริตให้ได้รับตำแหน่งสำคัญในบ้านเมือง จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย และหลักนิติธรรม มิได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ และความผาสุกของประชาชนโดยรวม แต่เป็นการเอื้อประโยชน์แก่บุคคลที่ไม่สมควรจะได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญ ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 มาตรา 3 วรรคสอง อีกด้วย
ในหนังสือร้องเรียนของกลุ่มผู้พิพากษา ยังระบุอีกว่า นอกเหนือจากการแต่งตั้งหรือเห็นชอบให้ดำรงตำแหน่งต่างๆ แล้ว “สราวุธ” ยังดำรงตำแหน่งสำคัญในหน่วยงานอื่นๆ ที่อยู่ในสังกัดของรัฐบาล หรือฝ่ายบริหารอีกหลายตำแหน่ง เช่น ประธานกรรมการการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย, กรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์, กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน ป.ป.ช., ประธานกรรมการธุรกรรมในสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน, กรรมการทางธุรกรรมอิเลกทรอนิกส์, ประธานอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) และดำรงตำแหน่งอื่นๆ ในสถาบันหรือสถานศึกษาอีกหลายแห่ง รวมทั้งยังมีตำแหน่งเป็นกรรมการในบริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) อีกด้วย ทั้งที่ “สราวุธ เบญจกุล” เป็นข้าราชการซึ่งปฏิบัติงานประจำในสำนักงานศาลยุติธรรม ย่อมมีข้อสงสัยว่า เหตุใดจึงสามารถออกไปปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานภายนอกได้หลายแห่งเช่นนั้น
แม้ประธานศาลฎีกามีคำสั่งตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยร้ายแรงแล้ว ก็ไม่มีหน่วยงานใดพิจารณาถึงความเหมาะสมว่า “สราวุธ” ยังสมควรดำรงตำแหน่งข้างต้นต่อไป หรือไม่
ดังนั้น กลุ่มผู้พิพากษา จึงขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. สอบสวนดำเนินคดีแก่ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสอง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 91 และชี้มูลว่าการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองข้างต้นเป็นความผิดจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่ด้วย และขอให้ตรวจสอบด้วยว่า มีบุคคลใดอนุญาตให้ “สราวุธ” ออกไปดำรงตำแหน่งอื่นในหน่วยงานภายนอกศาลยุติธรรม โดยไม่ชอบด้วยกฎระเบียบของทางราชการอีกหรือไม่
แว่วว่า ตอนนี้ผลสอบวินัยร้ายแรงของ “สราวุธ” ส่งถึงมือประธานศาลฎีกาเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่า ทั้ง “พล.อ.ประยุทธ์ และ วิษณุ” จะงานเข้า ทำตัวเองหรือไม่ ? เรื่องนี้จะจบลงอย่างไ ร? ต้องรอดูกันต่อไป
** “หมอหนู” โล่ง!! ปลดล็อกกัญชาเดินหน้าอีกขั้น เรื่องปลูกเสรีใกล้สมบูรณ์
ในที่สุดที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ “บอร์ด ป.ป.ส.” ที่มี “วิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ก็มีมติเห็นชอบ ร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข ให้กัญชา กัญชง พ้นจากยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ตามที่คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษเสนอมา
ตอนนี้ชื่อยาเสพติดที่ยังคงอยู่ในประเภท 5 ก็มี ฝิ่น เห็ดขี้ควาย ส่วนสกัดของกัญชาที่มีสารทีเอชซี เกิน 0.2%
แม้จะไม่มีชื่อ “กัญชา” แล้ว แต่ใช่ว่าหลังจากนี้จะปลูกกัญชา จะพี้กัญชา ได้อย่างเสรีเหมือนเคี้ยวกระท่อม ปลูกกระท่อม ที่มีการปลดล็อกไปก่อนหน้า เพราะหลักใหญ่ของการปลดล็อกกัญชาชัดเจนว่า เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ ไม่ใช่เพื่อสันทนาการ
ดังนั้น จึงจำเป็นต้องออกกฎหมาย คือร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง พ.ศ. …มารองรับ มาควบคุม เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าจะนำมาใช้ทางการแพทย์ การศึกษาวิจัย อุตสาหกรรม และการใช้ทางสุขภาพ หรือผลิตภัณฑ์อาหาร จริงๆ ไม่ใช่นำไปใช้ในทางที่ผิด อย่างการเสพเพื่อให้มีฤทธิ์ต่อจิตประสาท
ร่างกฎหมายนี้จะกำหนดรายระเอียดขอบเขต การปลูก การใช้กัญชา กัญชงได้อย่างไรบ้าง จะมีการเปิดให้จดแจ้ง เพื่อปลูกใช้เป็นสมุนไพร รักษาตัวเองในครัวเรือน จะมีกระบวนการควบคุม เพื่อไม่ให้มีการนำไปใช้ในเรื่องที่ผิดอย่างที่มีความกังวลกัน ว่าจะมีคนปลูกกัญชาเพื่อมาเสพ มาพี้ ทำให้คนติดกัญชา...
“หมอหนู” บอกจะยื่นร่างกฎหมายดังกล่าวเข้าสู่สภาเพื่อพิจารณาในวันนี้ (26 ม.ค.) และหวังว่าจะได้รับความร่วมมือจาก ส.ส.ทุกคน เมื่อกฎหมายผ่านสภา ก็จะมีผลบังคับใช้ หลังมีประกาศในราชกิจจานุเบกษา 120 วัน
คำถามที่สังคมอยากรู้คำตอบที่สุดในตอนนี้ คือ ประชาชนทั่วไปจะปลูกกัญชาได้หรือไม่ แค่ไหน อย่างไร ... “หมอหนู” บอกว่า ต้องรอให้กฎหมายมีผลบังคับใช้ก่อน เพราะระหว่างการพิจารณาของสภา อาจจะมีการปรับปรุงแก้ไขในรายละเอียดที่เสนอไป แต่เชื่อว่าจะสามารถปลูกได้ง่ายขึ้น แบบต้องจดแจ้งก่อน ต้องปลูกตามจำนวนที่กำหนด และต้องไม่นำไปสกัดเพื่อใช้ในทางอุตสาหกรรม หากจะสกัดเป็นน้ำมันต้องขออนุญาต ...ถ้าชาวบ้านจะปลูกในบ้าน ก็ไปจดแจ้งได้เลย เพราะการจดแจ้งตามเจตนารมณ์ของกฎหมายนี้คือ ... “เรียนมาเพื่อทราบ ไม่ใช่เรียนมาเพื่ออนุมัติ”
“หมอหนู” ทิ้งท้ายว่า พรรคภูมิใจไทยต้องการทำกัญชาให้มีประโยชน์ จึงขอให้ประชาชนนำกัญชามาใช้ให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่ใช้ให้เกิดโทษ!!