เมืองไทย 360 องศา
ตามกำหนดการก็คือ วันที่ 19 มกราคม ที่ “พรรคสร้างอนาคตไทย” นัดเปิดตัว และจากเอกสารประชาสัมพันธ์ของผู้ประสานงานของพรรค คือ นายวัชระ กรรณิการ์ มีการแย้มออกมาแบบเรียกแขกว่า ให้จับตา “บิ๊กเซอร์ไพรส์” ในวันดังกล่าว ทำให้น่าสนใจไม่น้อยสำหรับคอการเมือง ที่มีพรรคการเมืองเกิดขึ้นมาอีกพรรค เป็นทางเลือกให้กับประชาชน
อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมา สำหรับพรรคสร้างอนาคตไทย ได้มีการเคลื่อนไหวเรื่องการตั้งพรรคมาอย่างต่อเนื่อง โดยแกนนำสำคัญคือ นายอุตตม สาวนายน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อดีตหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน อดีตเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ โดยในช่วงปลายปีที่แล้ว พวกเขาก็มีการนัดหมายว่าจะมีการเปิดตัวพรรคใหม่ในช่วงต้นปีใหม่ แต่ด้วยสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ทำให้ต้องเลื่อนออกไป และมีการแจ้งกำหนดการออกมาเป็นวันที่ 19 มกราคมนี้
ที่บอกว่าน่าจับตา ก็คือ ตัวบุคคลที่เป็นผู้ริเริ่มก่อตั้ง ทั้ง นายอุตตม และ นายสนธิรัตน์ มีภาพลักษณ์เป็น “มือเศรษฐกิจ” โดยเฉพาะทั้งคู่อยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า “สี่กุมาร” ที่มี นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยสองคนหลังก็เคยเป็นกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ในช่วงยุคก่อตั้ง
อีกทั้ง ทั้งหมดยังอยู่ในทีมของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีต “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” ของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตั้งแต่ในยุคที่ยังเป็น “รัฐบาล คสช.” จนกระทั่งมาเป็นรองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจ ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ หลังการเลือกตั้ง ก่อนที่จะรับรู้กันว่า “ถูกบีบ” ให้ลาออก ในเดือนกรกฎาคม 2563 จากปัญหาการเมืองในพรรคพลังประชารัฐ
แน่นอนว่า ภาพลักษณ์ของพวกเขาจะออกมาในแบบที่ได้รับความเชื่อถือในเรื่องเศรษฐกิจดังกล่าวแล้ว ซึ่งต้องยอมรับว่าในช่วงที่ยังดำรงตำแหน่งในรัฐบาล คสช. ต่อเนื่องมาจนถึงยุคแรกของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ การแก้ปัญหาและนโยบายทางเศรษฐกิจ มีความหวือหวาได้รับการตอบรับจากชาวบ้านมากพอสมควร ทั้งในเรื่องของ “เศรษฐกิจชุมชน” และภาพการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ เช่น เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ “อีอีซี” ที่ขับเคลื่อนการลงทุนต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ เป็นต้น
เมื่อเทียบกับในยุคปัจจุบันในรัฐบาล “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ ที่เวลานี้กำลังมีปัญหารุมเร้าเรื่องเศรษฐกิจ และยังไม่มีมือทำงานที่ถือว่า “เข้าตา” ชาวบ้าน จนกลายเป็น “จุดอ่อน” โดยเฉพาะการเป็น “รัฐบาลผสม” ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องทำหน้าที่เป็น “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” ด้วยตัวเอง และแน่นอนว่า หากพิจารณากันด้วยความเป็นธรรม ปัญหาที่เป็นอยู่ส่วนสำคัญย่อมมาจากวิกฤตโรคระบาด แต่ขณะเดียวกัน หากรัฐบาลไม่ได้รับความเชื่อถือในเรื่องการแก้ปัญหาเรื่องปากท้อง มันก็ยิ่งทำให้เสื่อมศรัทธาเร็วขึ้น
เมื่อวกกลับมาที่พรรคสร้างอนาคตไทย ที่กำลังจะเปิดตัว จึงเป็นที่จับตามองว่า ว่าจะสามารถดึงใครมาร่วมได้บ้าง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ทั้ง นายอุตตม และ นายสนธิรัตน์ เคยย้ำว่า มีการเดินสายรับฟังทุกปัญหา รวมไปถึงมีการหารือกับกลุ่มการเมืองมากมาย จนทำให้มีการจับตาว่าจะสามารถทาบทาม หรือดึงใครเข้ามาร่วมได้มากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะนักการเมือง และนักธุรกิจ รวมไปถึงกลุ่มทุนที่มาร่วมสนับสนุน จะทำได้น่าสนใจแค่ไหน
ที่ผ่านมา หากจำกันได้ มีนักการเมืองที่แสดงท่าทีชัดเจนแล้วว่า เข้าร่วมกับพรรคสร้างอนาคตไทย เป็นรายแรกก็คือ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รอเพียงการเปิดตัวอย่างเป็นทางการเท่านั้น และล่าสุด ก็มี นายสุพล ฟองงาม และ นายสันติ กีระนันทน์ ที่ได้ลาออกจาก ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐแล้ว เพื่อร่วมเปิดตัวกับพรรคใหม่ดังกล่าวในวันที่ 19 มกราคมนี้
หากพิจารณากันด้วยชื่อชั้น และแบ็กกราวนด์ของแต่ละคนที่ว่านี้ก็ต้องบอกว่าเป็นระดับ “บิ๊กเนม” ได้เหมือนกัน และหากพิจารณาจากประสบการณ์ที่พวกเขายอมเข้าร่วมก็ต้องมั่นใจแล้วว่า “ต้องมีอนาคต” ที่สำคัญ ต้องรับรู้แล้วว่า ต้องมีทั้งกระแสการตอบรับดี มี “กระสุน” ไว้แบ็กอัพไม่น้อย เพราะการเมืองไทยหากไม่มองแบบไร้เดียงสาจนเกินไปก็ต้องเข้าใจกันว่ามันต้องขับเคลื่อนด้วยทุน หากทุนหนาไว้ใจได้ หลายอย่างมันก็สามารถขับเคลื่อนได้ลื่นไหล
อย่างไรก็ดี แม้ว่าในเวลานี้ยังไม่มีข้อมูลที่มากพอในเรื่องกลุ่มทุนที่มาสนับสนุนพรรคการเมืองน้องใหม่พรรคนี้ แต่เมื่อพิจารณาจาก “คอนเนกชั่น” ไม่ว่าจะเป็น นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ นายอุตตม สาวนายน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รวมไปถึงนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ที่คร่ำหวอดอยู่ในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ กลุ่มแบงก์ขนาดใหญ่ ย่อมต้องมีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และการที่นักการเมือง “รุ่นใหญ่” ข้างต้นยอมเข้ามาร่วม ก็น่าจะเป็นคำตอบได้ในระดับหนึ่งอยู่แล้ว
ขณะเดียวกัน หากโฟกัสในแบบ “ภาพย่อย” ลงมาอีกในระดับพื้นที่จนต้องจับตา ก็คือ หลังจากที่ นายสุพล ฟองงาม และนายสันติ กีระนันทน์ ยอมทิ้งเก้าอี้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ จากพรรคพลังประชารัฐ มาร่วมนั้น หลังจากนี้ จะมีนักการเมือง และ ส.ส.จากพรรคนี้ ไหลเข้ามาร่วมอีกมากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสาน ที่ถือว่าระดับนายสุพล ที่มีแบ็กกราวนด์ไม่ธรรมดา เมื่อครั้งที่เคยสังกัดพรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชน เคยเป็นรัฐมนตรีมาแล้วหลายกระทรวงรวมไปถึงเคยเป็นแกนนำคนเสื้อแดงมาแล้ว
แต่เอาเป็นว่าพูดไปก็แค่นั้น ต้องรอวันเปิดตัวในวันที่ 19 มกราคม ว่าจะมีระดับ “บิ๊กเนม” มาร่วมกับ “พรรคสร้างอนาคตไทย” มากแค่ไหน จะมี “บิ๊กเซอร์ไพรส์” ตามที่มีการโหมโรงเรียกความสนใจไว้ล่วงหน้า แต่เท่าที่สังเกตในช่วงที่ผ่านมาถือว่าเป็นที่จับตาและสนใจพอสมควร เนื่องจากเป็นการเน้นภาพ “ของทีมเศรษฐกิจ” เข้ามาแก้ปัญหาปากท้อง เป็นภาพที่ “ไม่สุดโต่ง” ออกมาแบบกลางๆ เน้นการแก้ปัญหาเป็นหลัก ก็ต้องรอดูกันว่าสมราคาหรือไม่ !!