ข่าวปนคน คนปนข่าว
**“นาย ณภัทร” แจมผิดเวลาพาชีวิตเปลี่ยน! แพงทั้งแผ่นดิน จะทำรัฐบาลลุงจอดป้ายไม่ต้องรอ 8 ปี! ?
จากหมูแพงขยายวงไปถึงไก่-ไข่ ของกินอื่นๆ พาเหรดขึ้นราคาตาม เป็นความเดือดร้อนของประชาชนทุกหย่อมหญ้า ร้านอาหารบางร้านปรับเปลี่ยนเมนู หรือปิดกิจการชั่วคราว เพราะแบกต้นทุนไม่ไหว จนแฮชแท็ก “แพงทั้งแผ่นดิน” ฮิตติดชาร์ตในโลกโซเชียลฯ เวลานี้
เจอหนักๆ ข้าวของแพง ค่าครองชีพต่ำ แบบนี้นับเป็นช่วงเวลาที่ความรู้สึกของผู้คนอ่อนไหวง่าย ใครแหลมมาต้องบอกว่าเจอ “ทัวร์ลง” เอาง่ายๆ ดูตัวอย่างของ “พระเอกดัง” นาย ณภัทร นั่นปะไร
หลังจากเจ้าตัวโพสต์ข้อความ “ถ้าเนื้อหมูขึ้นราคา ลองหันมากิน ‘เนื้อจากพืช’ แทนนะครับ อร่อย ดีต่อสุขภาพ ปราศจากความกังวลเลยครับ นักเก็ตไก่จากพืช หมูกรอบจากพืช และหมูสับจากพืช ได้โปรตีนสูง จะผัดกะเพรา ต้มจืด ไข่ยัดไส้ จัดไปแทนกันได้หมด” ปรากฏว่า “นาย” ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จนต้องลบโพสต์ในเฟซบุ๊กในเวลาต่อมา พร้อมกับ ขอโทษในสิ่งที่เกิดขึ้น
“ตอนเห็นก็ตกใจครับ ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจครับ ก่อนอื่นต้องขอโทษครับ ขอโทษประชาชนทุกคนนะครับ ผมเข้าใจดีว่าสถานการณ์แบบนี้ มาเจอโควิดแล้ว มาหยุดทำงาน ทุกคนมีความเครียดสะสม มีความยุ่งยากในการใช้ชีวิตอยู่แล้ว พอมาเจอแบบนี้บางคนตีความไป ทำให้รู้สึกเจ็บช้ำน้ำใจ แต่มันไม่ใช่เจตนาของผมที่จะมาโพสต์ในแง่ลบ เจตนาของผมในการโพสต์เป็นเจตนาดีที่เห็นว่าถ้าเนื้อหมูราคาสูง ก็มีทางเลือกหลายๆ ทางเลือก และอันนี้ก็เป็นอีกทางเลือก ก็ถือว่าได้ทำบุญด้วย เพราะว่าเราหยุดฆ่าสัตว์ อันนี้คือเจตนาของผม แล้วก็ไม่ได้อยากจะแก้ตัวอะไร ไม่อยากให้ดูเป็นการแก้ตัว ผมเข้าใจว่า ตอนนี้ทุกคนกำลังเจออะไรอยู่บ้าง แต่ผมไม่ได้มีเจตนาแย่อะไรเลย”
ต้องบอกว่า นี่เป็นบทเรียนของการ “รับงาน” ของอินฟลูเอนเซอร์ ที่มองเพียงผลประโยชน์ที่ธุรกิจที่โหนกระแส หวังผลทางการตลาด แต่ขาดความรอบคอบ คราวหน้าคราวหลัง “นาย ณภัทร” ก็คงต้องคิดให้หนักหน่อยละ ผิดที่ผิดเวลา พาชีวิตเปลี่ยนได้ง่ายๆ
พูดถึงเรื่องหมูๆ ตอนนี้ไม่หมูจริงๆ โดยเฉพาะประเด็นสาเหตุที่แท้จริงของราคาหมูที่แพงหูฉี่นี้ผูกโยงไปที่การปล่อยปละละเลยของรัฐบาล สืบสาวกันไปถึงปมโรคระบาด อหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African swine fever : ASF) ที่กรมปศุสัตว์ ซุกเอาไว้ใต้พรม
พอเรื่องแดงแจ๋ขึ้นมา อาการลุกลี้ลุกลนตรวจสอบก็ตามมา ซึ่งอธิบดีกรมปศุสัตว์ แถลงผลการวิเคราะห์ตัวอย่าง ยอมรับแล้วว่า ล่าสุด ตรวจพบเชื้อ ASF จริง!!
งานนี้ก็เท่ากับว่า ปมข้อสงสัยต่างๆ เกี่ยวกับการบริหารจัดการของ กรมปศุสัตว์ และ กระทรวงเกษตรฯ มีน้ำหนักน่าเชื่อได้ว่า ที่ผ่านมา รู้ปัญหาแต่ทำเป็น “หมูในอวย” ไม่คิดจะแก้ปัญหานั้น เป็นจริงอย่างที่เขาว่ากัน
ด้าน “นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว” ส.ส.น่าน และ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ออกมาขยี้บี้ซ้ำว่า ปัญหาหมูราคาแพง เรื่องหมูแต่ไม่หมู จะเป็นเรื่องล้มรัฐบาลได้
เพราะว่า รัฐบาลปล่อยปละละเลยโรคระบาดสัตว์ สร้างความเสียหายให้ประเทศใหญ่หลวง เศรษฐกิจฐานรากพังพินาศ ที่ผ่านมา มีประกาศชัดเจนให้เรื่องโรคอหิวาต์แอฟริกาในหมูเป็นวาระแห่งชาติ ตั้งแต่เดือน เม.ย. 62 โดย “กฤษฎา บุญราช” รมช.เกษตรและสหกรณ์ ขณะนั้น แต่รัฐบาลกลับไม่ทำอะไร
เรื่องนี้หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เชื่อว่า มีการปกปิดหลักฐานการระบาดโรค เพราะกลัวต้องชดเชยเยียวยาเกษตรกรหรือไม่ หากประกาศมีโรคอหิวาต์แอฟริกาในหมู หรือปกปิดเพราะต้องการทำลายเกษตรกรรายย่อยที่เลี้ยงหมู ให้การเลี้ยงหมูอยู่ในการครอบครองของผู้ประกอบการรายใหญ่ หรือไม่
นายกฯอยู่ไหน ไม่ใส่ใจปัญหาความเดือดร้อนประชาชน เรื่องหมูจะเอานายกฯ ออกจากตำแหน่ง ไม่ต้องรอวาระ 8 ปี
งานนี้ “ลุงตู่” จะดูเบาไม่ได้เชียว ของแพง ค่าแรงต่ำ ปากท้องของประชาชนเรื่องใหญ่ เอาแค่เรื่องหมูแพง ถ้าแก้โรคระบาดไม่ได้ ปล่อยไปตามยถากรรม บอกได้เลยว่า สถานการณ์ที่เป็นอยู่วันนี้ วงในผู้เลี้ยงหมูพูดกันว่า แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่ประชาชนจะได้กลับมาบริโภคหมูในราคาถูก “หมูแพง” ยังจะดำเนินไปก็อย่างน้อยๆ ก็ปีสองปี จนกว่าผู้เลี้ยงสุกรจะสามารถฟื้นจากโรคระบาด
ลุงทำใจดีสู้เสือ ปรับฮวงจุ้ย เติมพลังสายมูแล้ว ก็อย่าลืมว่า เรื่องหมู เป็นเรื่องเร่งด่วน ประชาชนรอกันอยู่นะจ๊ะ
**นายกฯ “สายมู” อัญเชิญเทพนรสิงห์ ออกมาปราบภัยพาล
ถ้าพูดกันถึงเรื่องความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เครื่องราง ของขลัง บรรดานักข่าวทำเนียบฯ และคนในทำเนียบฯ ต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวว่า “นายกฯ ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นี่แหละ “สายมู” ตัวจริง เสียงจริง!!
ด้วยความที่เป็นนายทหาร สิ่งยึดเหนี่ยวในเรื่องเกี่ยวกับ แคล้วคลาด ปลอดภัย เมตตามหานิยม เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ผู้คิดร้ายจะแพ้ภัยตัวเอง ย่อมได้รับการปลูกฝังมาดังที่มีคนพูดถึง “ลุงตู่” เกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ
ทั้งพระเครื่องที่คอ ตะกรุดที่เอว กำไลหางช้างที่ข้อมือ แหวนนพเก้าที่นิ้ว มีการปรับฮวงจุ้ย ปลูกไม้มงคลในทำเนียบฯ ปรับปรุงศาลพระภูมิเจ้าที่ ศาลตา ศาลยาย บนตึกไทยคู่ฟ้าในห้องทำงาน มีโต๊ะหมู่บูชาพระพุทธรูป บูชาชุดเทพเจ้าต่างๆ รวมทั้งโต๊ะหมู่บูชาอดีตบูรพกษัตริย์ บนดาดฟ้ามีศาลท้าวมหาพรหม...
ล่าสุด นักข่าวเห็นพวงมาลัยดาวเรืองสีเหลืองๆ ที่ริมระเบียงตึกไทยคู่ฟ้า จึงเข้าไปส่องดู ถามผู้รู้ ก็ได้รับคำตอบว่าเป็น “นรสิงห์” ที่นายกฯ สักการบูชา
ว่ากันว่า เดิม “นรสิงห์” องค์นี้อยู่ภายในห้องบนตึกไทยคู่ฟ้า เมื่อ “ลุงตู่” นิมนต์ สมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี แห่งวัดไตรมิตรวิทยาราม เจ้าคณะใหญ่หนกลาง หรือที่รู้จักกันในนาม “สมเด็จธงชัย” ผู้ปลุกเสก “ยันตร์เลสเตอร์” อันโด่งดัง มาตรวจฮวงจุ้ยในทำเนียบรัฐบาล ช่วงก่อนอภิปรายไม่ไว้วางใจ เมื่อเดือนสิงหาคนที่ผ่านมา ก็ได้รับการทายทักว่า “นรสิงห์” องค์นี้ไม่ควรอยู่ในห้อง แต่ควรจะอยู่ด้านนอก เพื่อจะได้แสดงอิทธิฤทธิ์ ปราบภัยพาล ที่จะมากล้ำกรายในช่วงวิกฤต
“นรสิงห์” จึงถูกย้ายออกมาตั้งบูชาที่ระเบียงชั้น 2 ของตึกไทยคู่ฟ้า เพียงแต่ไม่ได้อยู่ในจุดที่เด่นเป็นสง่า ถ้าไม่สังเกตให้ดีก็จะไม่เห็น แต่ในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมานี้ นายกฯนำพวงมาลัยดาวเรืองไปถวายสักการะ นักข่าวจึงมองเห็นว่าอะไรเหลืองๆ จึงรู้ว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อีกหนึ่งอย่างที่นายกฯสักการบูชา
ว่ากันตามตำนาน “นรสิงห์” เป็นอวตาร ร่างที่ 4 ของ “พระนารายณ์” ในคัมภีร์ของศาสนาฮินดู มีร่างกายท่อนล่างเป็นมนุษย์ ท่อนบนเป็นสิงโต ซึ่งเป็นผู้สังหารอสูร “หิรัณยกศิปุ” ผู้ร้ายกาจ เพราะได้รับพรจาก “พระพรหม” ให้เป็นผู้ที่ฆ่าไม่ตายจากน้ำมือ มนุษย์ สัตว์ เทวดา ฆ่าไม่ตายทั้งในเวลากลางวัน และกลางคืน ฆ่าไม่ตายทั้งจากอาวุธ และมือ ฆ่าไม่ตายทั้งในเรือน และนอกเรือน
เมื่อได้รับพรดังกล่าว “หิรัณยกศิปุ” ก็กร่าง อาละวาด สร้างความเดือดร้อนไปทั่วทั้งสามภพ “พระอินทร์” จึงทูลเชิญ “พระนารายณ์” อวตารเกิดมาเป็น “นรสิงห์” เพื่อสังหารอสูรร้ายตนนี้ โดยใช้กรงเล็บฉีกอก ที่กึ่งกลางบานประตู ในเวลาโพล้เพล้
“นรสิงห์” ไม่ใช่ มนุษย์ หรือสัตว์ หรือเทวดา... สิ่งที่ใช้สังหารก็ไม่ใช่มือ หรืออาวุธ แต่เป็นกรงเล็บ... ไม่ได้สังหารในเรือน หรือนอกเรือน แต่เป็นที่กึ่งกลางบานประตู... และเวลาที่สังหารก็ไม่ใช่เวลากลางวัน หรือกลางคืน แต่เป็นเวลาโพล้เพล้
หลัง “หิรัณยกศิปุ” ถูกสังหาร เทวดาทั้งสามภพจึงแซ่ซ้อง ยินดีที่ “นรสิงห์” มาช่วยปกปักรักษา ปราบภัยพาล อภิบาลเทวดา!!... นั่นเป็นตำนานที่เล่าขานเกี่ยวกับ “นรสิงห์”
อีกทั้ง ประวัติของทำเนียบรัฐบาล เดิมก็ชื่อ “บ้านนรสิงห์” ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อพระราชทานแก่ พลเอก พลเรือเอก มหาเสวกเอก จางวางเอก เจ้าพระยารามราฆพ (หม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ) ผู้เคยดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการมหาดเล็ก และผู้บัญชาการกรมมหรสพ ทั้งยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ถวายงานใกล้ชิด เป็นหัวหน้าห้องพระบรรทม นั่งร่วมโต๊ะเสวย เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย
ที่สนามหญ้าหน้าบ้านนรสิงห์ ก็เคยมีรูปปั้น “นรสิงห์” เต็มตัว ตั้งอยู่กลางสนามหญ้าหน้าตึก ต่อมาบ้านนรสิงห์ ถูกขายแก่รัฐบาล จอมพล แปลก พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น “นรสิงห์” องค์นั้น ก็ไม่ทราบว่าเคลื่อนย้ายไปอยู่ที่ใด องค์ที่เห็นในปัจจุบันนี้เป็นองค์ใหม่
ปีที่แล้ว “นรสิงห์” ที่เคยปราบภัยพาลให้ “รัฐบาลลุงตู่” แคล้วคลาดจากการถูก “โหวตคว่ำ” ในศึกซักฟอก มาปีนี้ จะสามารถปกปักรักษาให้รอดพ้นจากภัย “หมูแพง” หรือไม่... “สายมู” บอกว่าอย่าลบหลู่ทีเดียวเชียว !!