ศาล ปค.นครศรีธรรมราช สั่งห้ามอธิบดีกรมศิลปากรกำหนดเขตที่ดินส่วนที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร คัดค้าน เป็นเขตโบราณสถาน ชี้ เป็นการรอนสิทธิ-ใช้ดุลพินิจกำหนดเขตเกินส่วนความจำเป็นไม่ชอบด้วยกฎหมาย
วันนี้ (10 ม.ค.) ศาลปกครองนครศรีธรรมราช มีคำพิพากษาห้ามอธิบดีกรมศิลปากรกระทำการกำหนดเขตที่ดินเป็นเขตของโบราณสถานเฉพาะส่วนที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารคัดค้าน
คดีนี้ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ยื่นฟ้องอธิบดีกรมศิลปากร ว่า อธิบดีกรมศิลปากร ได้ส่งรายงานการสำรวจพื้นที่ แผนผังบริเวณ และกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร มาให้วัดทราบ ซึ่งตามรายงานการสำรวจโบราณสถานวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารดังกล่าว ได้กำหนดพื้นที่โบราณสถานมีสิ่งสำคัญในบริเวณโบราณสถาน คือ พระบรมธาตุเจดีย์ พระวิหารหลวง วิหารธรรมศาลา วิหารทับเกษตร วิหารพระทรงม้า วิหารเขียน วิหารโพธิ์ลังกา วิหารสามจอม (วิหารศรีธรรมโศกราช) วิหารพระแอด (วิหารพระมหากัจจายนะ) วิหารโพธิ์พระเดิม ระเบียงคด มณฑปพระพุทธบาทจำลอง เจดีย์ราย เจดีย์หน้าบานประตูเหมรังสี ซุ้มประตูเยาวราช และสถูปเจดีย์หินหกเหลี่ยม ซึ่งทางวัดฯเห็นว่า การกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานดังกล่าวไม่ถูกต้อง เนื่องจากเป็นการกำหนดเขตโบราณสถานที่รวมพื้นที่ของวัดทั้งหมด โดยวัดยินยอมให้กันแนวเขตโบราณสถานได้บางส่วน ได้แก่ พระบรมธาตุเจดีย์ พระวิหารหลวง วิหารทับเกษตร วิหารพระทรงม้า วิหารเขียน วิหารโพธิ์ลังกา วิหารสามจอม วิหารพระแอด วิหารโพธิ์พระเดิม ระเบียงคด มณฑปพระพุทธบาทจำลอง เจดีย์ราย และกำแพงวัด ส่วนวิหารโพธิ์พระเดิมและมณฑปพระพุทธบาทจำลอง ซึ่งอธิบดีกรมศิลปากร กำหนดที่ดินโดยรอบและที่ดินบริเวณส่วนอื่นภายในเขตกำแพงของวัดทั้งหมดเป็นเขตของโบราณสถานด้วย วัดจึงขอให้ศาลมีคำสั่งระงับการกำหนดแนวเขตที่ดินโบราณสถานของวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร (เฉพาะส่วน) ในเขตพื้นที่สีขาวตามผังบริเวณวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร
ส่วนที่ศาลมีคำพิพากษาพิพากษาห้ามอธิบดีกรมศิลปากรกำหนดเขตที่ดินเป็นเขตของโบราณสถานเฉพาะส่วนที่วัดคัดค้านเนื่องจากข้อเท็จจริงปรากฏต่อศาลว่า วัดไม่คัดค้านการขึ้นทะเบียนโบราณสถาน รายการสิ่งสำคัญจำนวน 16 รายการ ได้แก่ 1. พระบรมธาตุเจดีย์ 2. พระวิหารหลวง 3. วิหารธรรมศาลา 4. วิหารทับเกษตร
5. วิหารพระทรงม้า 6. วิหารเขียน 7. วิหารโพธิ์ลังกา 8. วิหารสามจอม (วิหารศรีธรรมโศกราช)
9. วิหารพระแอด (วิหารพระมหากัจจายนะ) 10. ระเบียงคด 11. เจดีย์ราย 12. เจดีย์หน้าบานประตูเหมรังสี 13. ซุ้มประตูเยาวราช และ 14. สถูปเจดีย์หินหกเหลี่ยม 15. วิหารโพธิ์พระเดิม และ 16. มณฑปพระพุทธบาทจำลอง เมื่อสิ่งปลูกสร้าง 16 รายการดังกล่าว สร้างขึ้นโดยมีลักษณะและรูปแบบทางศิลปะและสถาปัตยกรรมแตกต่างกัน มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ มีวัฒนธรรมหลายยุคสมัย ได้แก่ วัฒนธรรมศรีวิชัย วัฒนธรรมอยุธยา วัฒนธรรมธนบุรี และวัฒนธรรมรัตนโกสินทร์ มีอายุระหว่างพุทธศตวรรษที่ 18-25 จึงมีลักษณะเป็นโบราณสถาน อธิบดีกรมศิลปากรจึงมีอำนาจขึ้นทะเบียนโบราณสถานสิ่งก่อสร้างจำนวน 16รายการดังกล่าว เพื่อประโยชน์ในการดูแลรักษาและการควบคุมโบราณสถานได้ตามมาตรา 7 วรรคหนึ่ง พ.ร.บ.โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504
ส่วนการกำหนดเขตที่ดินของวัดเป็นเขตของโบราณสถานนั้น เห็นว่า แม้คดีกรมศิลปากรจะมีอำนาจดุลพินิจในการกำหนดเขตที่ดินตามที่เห็นสมควรเป็นเขตของโบราณสถาน ซึ่งในทางกฎหมายให้ถือว่าเป็นโบราณสถาน การใช้อำนาจดุลพินิจดังกล่าวต้องคำนึงถึงสิทธิในทรัพย์สินที่ได้รับการรับรองและคุ้มครองตามมาตรา 37 ของรัฐธรรมนูญ ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 34 พ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2504 ด้วย เมื่อตามแผนผังบริเวณที่ดินของวัดฯรับฟังได้ว่า บริเวณทิศเหนือที่ดินของวัดมีสิ่งสำคัญ คือ วิหารโพธิ์พระเดิม และมณฑปพระพุทธบาทจำลอง ซึ่งอธิบดีกรมศิลปากรได้กำหนดเป็นโบราณสถาน บริเวณโดยรอบมีสิ่งปลูกสร้างต่างๆ คือ กุฏิศาลา และอาคารต่างๆ เช่น อาคารอเนกประสงค์เฉลิมพระเกียรติ อาคารพุทธสมาคมนครศรีธรรมราช อาคาร 26 ศตวรรษ หอระฆัง บริเวณทิศใต้ที่ดินของวัดฯไม่มีสิ่งสำคัญที่ถูกกำหนดเป็นโบราณสถาน การที่อธิบดีกรมศิลปากรกำหนดเขตที่ดิน
ซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารบริเวณด้านทิศเหนือและด้านทิศใต้ของวัด ซึ่งอยู่ภายในบริเวณรั้วของวัดทั้งหมด และไม่ได้เป็นที่ดินส่วนที่ติดต่อกับที่ตั้งโบราณสถานรายการที่ 1-14 ประกอบกับไม่ได้แสดงให้ศาลเห็นว่าขอบเขตโบราณรายการที่ 15 วิหารโพธิ์พระเดิม และรายการที่ 16 มณฑปพระพุทธบาทจำลอง ซึ่งแยกออกจากกลุ่มโบราณสถานรายการที่ 1-14 มีขอบเขตอย่างไร และการกำหนดเขตที่ดินโดยรอบโบราณสถานให้เป็นเขตของโบราณซึ่งในทางกฎหมายให้ถือว่าเป็นโบราณสถานด้วย มีเหตุผลความจำเป็นที่ต้องกำหนดพื้นที่กำหนดภายในกำแพงของวัดทั้งหมด เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองดูแลรักษาโบราณสถาน การบูรณะ การซ่อมแซม โบราณสถานอย่างไร และการใช้ประโยชน์พื้นที่ในเขตของโบราณสถานของวัดซึ่งต้องอยู่ภายใต้บังคับตามมาตรา 7 ทวิวรรคหนึ่ง แลมาตรา 10 พ.ร.บ.โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2521 ที่กำหนดห้ามปลูกสร้างอาคารภายในเขตโบราณสถานหรือภายในบริเวณโบราณสถาน เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากอธิบดีกรมศิลปากร และถ้าหนังสืออนุญาตนั้นกำหนดเงื่อนไขไว้อย่างไรก็ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขนั้นด้วย อันเป็นการรอนสิทธิหรือจำกัดสิทธิในการใช้ประโยชน์ในที่วัด คือ ที่ตั้งของวัด ตลอดจนเขตของวัด และที่ธรณีสงฆ์ คือ ที่ซึ่งเป็นสมบัติของวัด ซึ่งกฎหมายกำหนดเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์และการโอนกรรมสิทธิ์ไว้ตามมาตรา 33 และมาตรา 34 พ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2504
“ดังนั้น การที่อธิบดีกรมศิลปากรใช้อำนาจกำหนดเขตที่ดินเฉพาะส่วนที่วัดคัดค้าน การกำหนดให้เป็นเขตของโบราณสถานซึ่งถือเป็นโบราณสถานด้วย จึงเป็นการใช้อำนาจรอนสิทธิหรือจำกัดสิทธิเหนือพื้นดินของวัดทำนองเดียวกับการใช้อำนาจเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ 2562 และถือเป็นการใช้ดุลพินิจกำหนดเขตที่ดินเป็นเขตของโบราณสถานที่เกินส่วนแห่งความจำเป็นตามมาตรา 37 วรรคสี่ ของรัฐธรรมนูญจึงเป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย”