xs
xsm
sm
md
lg

สปอตไลต์ส่องสองกุมาร “อุตตม-สนธิรัตน์” คัมแบ็ก ความท้าทายใหม่ของ “มือเศรษฐกิจ” กับภารกิจสร้างอนาคตไทย ** “ทักษิณ” บอกจะกลับบ้านปีนี้ เช็กคดี “ทุจริต” ที่ศาลตัดสินแล้ว โทษไม่ต่ำกว่า 10 ปี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว

**สปอตไลต์ส่องสองกุมาร “อุตตม-สนธิรัตน์” คัมแบ็ก ความท้าทายใหม่ของ “มือเศรษฐกิจ” กับภารกิจสร้างอนาคตไทย

ชัดเจนจากปากของ “อุตตม สาวนายน” และ “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” สองในกลุ่ม “สี่กุมาร” ที่เคยมีบทบาทในการบริหารกระทรวงเศรษฐกิจสำคัญ หรือเป็น “มือเศรษฐกิจ” ให้กับรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในช่วงหนึ่ง และได้ลาออกจากตำแหน่ง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพรรคพลังประขารัฐ โดยส่งสัญญาณว่าพร้อมแล้วที่จะคัมแบ็ก เข้าสู่เส้นทางการเมืองอีกครั้งอย่างแน่นอน

“อุตตม และ สนธิรัตน์” พร้อมใจสื่อสารโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เมื่อวานนี้ หลังจากมีคำถามมากมาย ถึงเส้นทางการเมืองของพวกเขาจะเป็นอย่างไร ตั้งพรรคหรือไม่ หรือไปร่วมกับใคร อย่างไร ?

เดิมที “สองกุมาร” เตรียมนัดสื่อมวลชน เพื่อเล่าถึงความคืบหน้าในการดำเนินการทั้งหลาย ในช่วงสัปดาห์แรกของปี 2565 แต่ด้วย

สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด สายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งกำลังเป็นที่กังวล และรัฐบาลได้ขอความร่วมมือในการหลีกเลี่ยงจัดกิจกรรมต่างๆ ในช่วงสองสัปดาห์แรกของปี จึงเห็นว่า ควรสื่อสารเจตนารมณ์ ผ่านช่องทางออนไลน์ จะเป็นการเหมาะสมกว่า

จากนั้น ได้เล่าถึงความเคลื่อนไหวหลังจากลาออกจากตำแหน่งทางการเมือง ทุกตำแหน่ง เมื่อราว 1 ปีครึ่ง ที่ผ่านมา ก็ได้เฝ้าติดตามสถานการณ์บ้านเมืองในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจระดับชาติและที่ระดับฐานราก ความขัดแย้งทางการเมืองที่ถลำลึก เรื่องความยุติธรรมที่เป็นปมปัญหา และไม่เสมอภาคของประเทศ ที่ทำให้ประเทศ ทำให้คนไทยเสียโอกาส ด้วยความห่วงใยมาโดยตลอด

ระยะเวลาปีครึ่งที่ผ่านมา กลับเป็นโอกาสให้ทั้ง “อุตตม และ สนธิรัตน์” ได้มีโอกาสรับฟัง แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้คนมากหน้าหลายตา จากหลากแวดวง และได้พบปะประชาชนในหลายกลุ่ม หลายจังหวัด ที่ต่างส่งเสียงสะท้อนปัญหาว่า กำลังมองไม่เห็นอนาคตของประเทศ และไม่เห็นผู้คนในโครงสร้างของวันข้างหน้า

มีข้อเสนอมากมายที่ให้ “อุตตม-สนธิรัตน์” เข้าร่วมกับพรรคการเมืองต่างๆ รวมทั้งการตั้งพรรคการเมืองที่ไวต่อความเปลี่ยนแปลงเพื่ออนาคตของไทย จากการพบปะแลกเปลี่ยนความเห็นกับกลุ่มคนที่ต้องการหาทางออกของประเทศ จึงได้ตัดสินใจร่วมกันว่า ควรร่วมกับผู้มีจิตสาธารณะฟื้นฟูประเทศ ตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา โดยการรวบรวมผู้คนเพื่อเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วน ทุกรุ่นทุกวัย มีส่วนร่วมผสานรอยต่อในการสร้างอนาคตของประเทศร่วมกัน

ขณะนี้คณะผู้ก่อตั้งพรรคกำลังดำเนินการในการจดแจ้ง จัดตั้งพรรคการเมืองที่เป็นทางเลือกใหม่ของสังคม ซึ่งจะเปิดตัวพรรคการเมืองใหม่นี้อย่างเป็นทางการภายในเดือน ม.ค.นี้

ส่วนแนวทางหรือจะมีใครเข้าร่วมบ้าง ขอให้รอคณะผู้จัดตั้งพรรคดำเนินการ เพราะพรรคการเมืองใหม่ที่จะเกิดขึ้นนี้ ไม่ใช่พรรคที่มี “อุตตม หรือ สนธิรัตน์” เป็นเจ้าของ แต่เป็นเพียงสองผู้มีส่วนร่วมเท่านั้น

สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์  - อุตตม สาวนายน
ขณะที่ ข้อสงสัยที่ว่า พรรคจะมีใครบ้าง ชื่ออะไร ใครเป็นหัวหน้าพรรค หรือกรรมการบริหารพรรค ต้องรอคณะผู้ก่อตั้งพรรคตกลงกันก่อน แต่ยืนยันได้ว่า พรรคการเมืองใหม่นี้ จะมีผู้เข้าร่วมมากมาย ทั้งผู้มีชื่อเสียงในแวดวงธุรกิจ-ภาคประชาชน-นักวิชาการ-อดีต ส.ส. รวมทั้ง ส.ส.ในปัจจุบัน เพราะทุกคนเหล่านี้ เห็นร่วมกันว่า วันนี้การเมืองในสภาพปัจจุบัน มิใช่การเมืองเพื่ออนาคตประเทศ แต่เราจะต้องมาสร้างอนาคตประเทศไทยในวันนี้ เพื่อส่งต่อให้คนทุกรุ่นทุกวัย อยู่ร่วมกันอย่างมีอนาคต!!

นั่นคือ คำมั่นของทั้ง “อุตตม” อดีต รมว.คลัง, อุตสาหกรรมและไอซีที “สนธิรัตน์” อดีต รมว.พาณิชย์, พลังงาน ที่งานนี้ต้องบอกว่า แสงสปอตไลต์ ได้จับไปเต็มๆ ที่ทั้งสองคนไปเรียบร้อย

น่าสนใจอย่างยิ่งว่า จากนี้พรรคใหม่ของทั้งสองคนซึ่ง เสนอตัวเป็นทางเลือกให้กับสังคมในห้วงเวลานี้ ท่ามกลางกระแสเชี่ยวกรากของการเมือง ภาวะโรคระบาด และปัญหาผลกระทบเศรษฐกิจที่ “วิกฤต” ไปทุกหย่อมหญ้า จะสามารถรวมตัว “บุคคล” เค้นนโยบาย หรือแนวทางการทำงานใด ให้ตอบโจทย์เป็นความหวัง สร้างอนาคต เรียกคะแนนศรัทธาจากประชาชนได้เพียงใด

ต้องบอกว่า พรรคใหม่ก็จริง แต่สิ่งทีมีของ “อุตตม และ สนธิรัตน์” มีเปรียบ คือ “ต้นทุน” ที่ไม่ต้องเริ่มจากศูนย์ ความเป็น “มือเศรษฐกิจ” ที่ผ่านมา ทั้ง คลัง-พาณิชย์-อุตสาหกรรม และ พลังงาน ถือเป็นจุดแข็งที่บังเอิญเป็นส่วนที่ขาดหายไปของพรรคการเมืองที่มีอยู่ หรือกระทั่ง “ครม.ลุงตู่” ในชุดปัจจุบัน

บนสมรภูมิการเมืองที่ว่ากันว่า ปีเสือจะเกิดการเปลี่ยนแปลง หรืออาจจะมีการเลือกตั้งเร็วขึ้นก่อนที่รัฐบาลจะครบวาระ ดังนั้น พรรคการเมืองทั้งหลายจึงต่างเคลื่อนไหวโหมโรงเพื่อเตรียมเข้าสู่โหมดศึกสงคราม ห้ำหั่นกัน

พลันที่มี “พรรคสองกุมาร” อุบัติขึ้นด้วยจุดขายพร้อมเป็นพรรคทางเลือก ลดขัดแย้ง แก้เศรษฐกิจ จึงน่าจับตามอง เพราะนี่เป็นบริบทใหม่ ความท้าทายของสองกุมาร “อุตตม-สนธิรัตน์” ที่ยอมรับกันในฐานะ “มือเศรษฐกิจ” กับภารกิจสร้างอนาคตไทย ที่แย้มออกมาก่อนเปิดตัวพรรคจะเปล่งประกายแค่ไหน อย่างไร โปรดติดตามกัน



** “ทักษิณ” บอกจะกลับบ้านปีนี้ เช็กคดี “ทุจริต” ที่ศาลตัดสินแล้ว โทษไม่ต่ำกว่า 10 ปี

“ทักษิณ” บอกจะกลับบ้านอีกแล้ว คราวนี้บอกว่าจะมาเป็นของขวัญปีใหม่ รับใช้คนไทยในปี 2565 นี้

ทักษิณ ชินวัตร หรือ “โทนี่ วู้ดซั่ม” พูดเรื่องนี้ เมื่อคืนวันที่ 4 ม.ค.ที่ผ่านมา ใน CARE Talk x CARE ClubHouse ว่า อยากให้กำลังใจคนไทยว่าในปีใหม่ปีนี้ ขอให้ใช้ความอดทนอีกสักครึ่งปี ครึ่งปีหลังถ้าเศรษฐกิจฟื้น ก็จะมีโอกาส ...และขออวยพรอีกอย่างคือ “ให้คนไทยได้ผมกลับบ้านเอาไปใช้งาน”

ก็ไม่รู้ว่าเป็นการอวยพรปีใหม่ หรือบอกความในใจว่า...แม้วอยากกลับบ้าน !! เพราะ 1. อยากไปเลี้ยงหลาน 2. ใครเป็นรัฐบาลช่าง ถ้าอยากให้ผมช่วยคิดแก้ไข พร้อมเสมอไม่คิดเงิน 3. จะรับจ้างบรรยายใครเชิญไปไหนก็ไป ขอแค่โอเลี้ยงแก้วหนึ่งพอ และ 4. ผมจะไปชวนบรรดาเศรษฐีในเมืองไทยมาลงขัน ส่งเสริมสตาร์ทอัปรุ่นใหม่

ส่วนจะกลับเมื่อไร ช่วงไหน จะกระซิบบอก “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนเล็ก เพียงคนเดียว!!

อย่างที่บอก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ “ทักษิณ” พูดถึงเรื่องกลับบ้าน บางคนฟังแล้วเฉยๆ บางคนจับไปโยงถึงสถานการณ์ทางการเมือง ขณะที่บางคนบอกว่าเขาพูดไปอย่างนั้นเอง ไม่กล้ากลับมาหรอก เพราะ “ประตูคุกเปิดรออยู่” !!

หากจับคำพูดของ “ทักษิณ” เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์การเมือง ... ในปีนี้มีโปรแกรมที่ฝ่ายค้านเตรียมอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลไว้แล้ว หรือศึกซักฟอกครั้งนี้จะถึงขั้นโค่นรัฐบาลลงได้ ... ถ้าเป็นเช่นนั้นก็แสดงว่า ต้องมีหนอนบ่อนไส้ มีกบฏในพรรคร่วมรัฐบาล ที่จะหักหลัง “ลุงตู่”

คำตอบก็ยังไม่ชัดอยู่ดีว่า แม้ “ลุงตู่” จะแพ้โหวต แล้ว “ทักษิณ” จะกลับมาได้อย่างไร

แพทองธาร ชินวัตร - ทักษิณ ชินวัตร
หรือจะเป็นช่วงที่กฎหมายลูกว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และพรรคการเมือง ผ่านความเห็นชอบจากสภาฯ มีผลบังคับใช้ และมีการเลือกตั้งครั้งใหม่

วิเคราะห์กันว่า กติกาการเลือกตั้งแบบบัตร 2 ใบ เข้าทางพรรคใหญ่ พรรคเพื่อไทยอาจจะชนะเลือกตั้ง แต่เป็นรัฐบาลไม่ได้ เพราะไม่มี 250 ส.ว. โหวตหนุนให้เป็นนายกฯ ดังนั้น อาจมีการจับมือกันระหว่างพรรคเพื่อไทย กับพลังประชารัฐ ในการจัดตั้งรัฐบาล จากนั้นจึงออกกฎหมายนิรโทษกรรมอีกครั้ง “ทักษิณ” ก็จะสามารถกลับมาอย่างเท่ๆ ได้

แนวทางนี้อาจจะมโนกันได้ แต่เป็นจริงยาก ... หนึ่งคือการเลือกตั้งอาจไม่ได้เกิดขึ้นในปีนี้ และโอกาสที่ พลังประชารัฐจะจับมือกับเพื่อไทย หลังเลือกตั้งนั้น “ฝืนความรู้สึก” ของกองเชียร์ทั้งสองฝ่ายแน่

ยิ่งการออกกฎหมาย “นิรโทษกรรม” ยิ่งเป็นไปได้ยาก เพราะมีบทเรียนมาแล้ว ในรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ...หากยังฝืนทำอีก ก็มีมวลชนที่พร้อมจะลงถนนแน่นอน บ้านเมืองก็จะลุกเป็นไฟอีก !!

หรือมองว่าการพูดของ “ทักษิณ” ก็แค่หวังผลในการหาเสียงเลือกตั้งที่จะมาถึง ซึ่งก็เป็นไปได้ เพราะยังมีคนที่นิยมชมชอบเขาอยู่ ขณะเดียวกัน ก็อาจเป็นการทำลายเสียงได้เช่นกัน เพราะยังมีคนที่กลัว “ผีทักษิณ” อยู่ ... คิดจะชนะแลนด์สไลด์ อาจแพ้แลนด์สไลด์ ก็เป็นได้

ในทางการเมืองนั้น ถือว่าคำพูดของ “ทักษิณ” ที่บอกจะกลับไทยในปีนี้ ก็เป็นได้แค่การ “โยนหินถามทาง” ให้คอการเมืองได้วิพากษ์วิจารณ์กัน ...เพราะตามข้อเท็จจริงนั้นยังมีคดีทุจริตต่างๆ ที่ค้ำคออยู่ !!

คดีที่ “ทักษิณ” ถูกกล่าวหาว่าทุจริต และถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุก รวมถึงคดีที่อยู่ระหว่างการไต่สวนของ ป.ป.ช.มีดังนี้

1. คดีทุจริตการจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก โดยก่อนศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะพิพากษาคดี “ทักษิณ” ได้เดินทางออกนอกประเทศ โดยอ้างว่าไปดูการแข่งขันโอลิมปิก ที่ประเทศจีน และหลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษา ทำให้ศาลฎีกาฯ ต้องอ่านคำพิพากษาลับหลัง จำคุกทักษิณ 2 ปี และยกฟ้องคุณหญิงพจมาน ...ปัจจุบันคดีนี้ หมดอายุความแล้ว

2. คดีทุจริตโครงการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว หรือ คดีหวยบนดิน โดยศาลฎีกาฯ พิพากษาจำคุก ทักษิณ 2 ปี ไม่รอลงอาญา

3. คดีสั่งการให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (Exim Bank) อนุมัติเงินกู้สินเชื่อ 4,000 ล้านบาท แก่รัฐบาลพม่า ศาลฎีกาฯ พิพากษาจำคุก 3 ปี ไม่รอลงอาญา

4. คดีแก้ไขค่าสัมปทานโทรศัพท์มือถือ เอื้อชินคอร์ป ศาลฎีกาฯ พิพากษาจำคุก 5 ปี ไม่รอลงอาญา

ส่วนคดีที่ศาลยกฟ้อง มี 2 คดี คือ คดีบริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TPI และคดีธนาคารกรุงไทย ปล่อยกู้สินเชื่อเครือกฤษดามหานคร กว่าหมื่นล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีคดีอยู่ระหว่างการไต่สวนของ ป.ป.ช. อีก 2 คดี คือ คดีทุจริตการระบายข้าว จีทูจี ลอตสอง จำนวน 8 สัญญา ที่ ป.ป.ช. มีการแจ้งผู้ถูกกล่าวหาเพิ่มเติม และมีชื่อของ “ทักษิณ ชินวัตร” ด้วย... ส่วนอีกคดีคือเรื่องที่ อนุมัติสั่งซื้อเครื่องบินแบบ A340-500 และ A340-600 ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ระหว่างปี 45-47 ทำให้การบินไทย มีหนี้สินเพิ่มมากขึ้น

รวมๆ แล้ว “ทักษิณ” มีคดีที่มีคำพิพากษาถึงที่สุด และมีโทษจำคุกรวมแล้วอย่างน้อย 10 ปี ที่รออยู่ แล้ว “ทักษิณ” จะยอมกลับมาติดคุกหรือ




กำลังโหลดความคิดเห็น