ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ย้อนรอย 18 ปี มัสยิดกรือเซะ ตัวละคร “ทักษิณ-พัลลภ” กับปริศนาคำ “ทำชั่ว” ในวันที่สัมพันธ์ร้าวลึก
เรียกเสียงฮือฮาให้กับคอการเมืองในช่วงเริ่มต้นศักราชใหม่ เมื่อ “ทหารผู้เฒ่า” พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตนายทหารยังเติร์ก จปร.รุ่น 7 อดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี สมัยรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกมาแฉว่าถูกคนแดนไกลอย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ที่หนีคดีทุจริตไปเป็นสัมภเวสีในต่างประเทศ ปลดออกจากพรรคเพื่อไทยโดยไม่รู้ตัว และไม่มีการแจ้งล่วงหน้ามาก่อน
กระทั่งมารู้ทีหลัง ช่วงที่พรรคเพื่อไทยจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี ที่ จ.ขอนแก่น เมื่อ 28 ต.ค. 64 ซึ่งมีการเปิดตัว “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร” ลูกสาวทักษิณ เป็นประธานที่ปรึกษาพรรค “พล.อ.พัลลภ” กลับถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าร่วมประชุม เพราะลูกน้องโทรศัพท์มาบอกว่า “เขาลบชื่อนายออกแล้ว” และเมื่อถามไปยัง “หมอชลน่าน” นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ทีแรกปากแข็ง อึกอักไม่ยอมบอก พอคาดคั้นออกไป ก็ยอมรับว่า “ทักษิณให้ปลดออก” โดยไม่ยอมบอกว่าทำผิดอะไร
ส่งสัญญาณความสัมพันธ์ระหว่าง “ทักษิณ-พัลลภ” ที่เคยเป็นมือเป็นไม้กันมาก่อน ขาดสะบั้นชนิดที่ว่า ยากที่จะต่อติด เพราะเมื่อถามว่า จะต้องต่อสายตรงถึงคนแดนไกลหรือไม่ ก็ได้คำตอบว่า “ไม่ต่อสายคุย” ย้ำว่า เช็กแล้วทักษิณเป็นคนสั่งปลด ไปพูดก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเขาทำไปแล้ว เมื่อปลดแล้ว คือ เขาไม่อยากได้เรา เขาเป็นเจ้าของพรรค ยังงงอยู่ว่าไปทำอะไรให้ถึงได้ปลด เพราะไม่มีเหตุผลชี้แจง หากปรับหลายคนก็เข้าใจว่าปรับทัพใหม่ เพื่อเอาเด็กเข้ามา แต่นี่ปรับตนออกคนเดียว
“พล.อ.พัลลภ” ยังดับเครื่องชนด้วยการแฉซ้ำว่า ได้ข่าวว่ามีการไปบอกให้สื่ออย่านำเสนอข่าวคนแดนไกล ปลดตนออกจากพรรค เกรงว่าจะมีผลกระทบถึงขั้น “ยุบพรรค” ซึ่งคอการเมืองเป็นอันเข้าใจดีว่า พฤติกรรมแห่งนี้อาจเข้าข่ายให้ “บุคคลภายนอก” ซึ่งหมายถึง นายทักษิณ โดยนิตินัย ไม่ใช่สมาชิกพรรค เข้าแทรกแซง ชี้นำ หรือครอบงำกิจการและสมาชิกพรรคตามรัฐธรรมนูญ ขัดต่อรัฐธรรมนูญฉบับปี 60 มีโทษสูงสุดถึงขั้นยุบพรรค
งานนี้ทำเอา “พรรคเพื่อไทย” ลุกเป็นไฟ ทั้งคนแดนไกลออกมาให้สัมภาษณ์นักข่าวที่ใกล้ชิดกัน อ้างว่า “ไม่รู้เรื่อง” ไม่ได้โทร. คุยกับ พล.อ.พัลลภ มาหลายปีแล้ว งานประชุมพรรคที่ขอนแก่นเป็นงานประชุมสมาชิกพรรค ไม่ใช่ประชุมกรรมการบริหารพรรค ขณะที่ “หมอชลน่าน” ก็อ้างมาตรการ โควิด-19 ที่จำกัดผู้เข้าร่วมงาน เลยไม่ได้เชิญสมาชิกอาวุโส และยืนยันว่า “พล.อ.พัลลภ” ยังเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย เพราะจ่ายค่าบำรุงสมาชิกพรรคตลอดชีพ แต่ไม่อาจหยุดยั้ง “ขบวนการนักร้อง” ที่มีทั้ง “ศรีสุวรรณ จรรยา” เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย และ “เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” ที่ใช้โปรย้ายค่ายสังกัดพรรคพลังประชารัฐ ต่างรุกหนักยื่นเรื่องไปยัง กกต. เพื่อยุบพรรคเพื่อไทย
ที่น่าสนใจก็คือ เมื่อนักข่าวซักว่า เหตุผลลึกๆ ในการปลดคืออะไร “พล.อ.พัลลภ” กล่าวว่า พูดยากจริงๆ แต่เชื่อว่า น่าจะเป็นเหตุผลในอดีต ที่เขาไป “ทำความชั่ว” ไว้ในเรื่องหนึ่ง ช่วงที่เป็นนายกฯ เป็นเรื่องที่ตนต้องรับผิดชอบ จึงได้รับคำสั่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ซึ่งเล่าไม่ได้ ตั้งแต่นั้นก็เลยขัดใจกัน เพราะไม่รู้เขาไปรู้เรื่องมาจากไหน แต่ก็งงว่าทำไม่มาปลดตอนนี้
“เป็นคำสั่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมก็พยายามหลบเลี่ยงสุดๆ จริงๆ มันง่ายมากสำหรับผม ถ้าจะทำตามคำสั่งนั้น เพราะผมก็เป็นหัวหน้าชุด killing team ทีมล่าสังหารกองทัพบก รบในโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม ถ้าทำตอนนั้นก็จบไปแล้ว เขาคงไม่มีชีวิตอยู่จนวันนี้ จนไปอยู่ต่างประเทศ” พล.อ.พัลลภ กล่าว
น่าสังเกตว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง “ทักษิณกับพัลลภ” ในอดีตนั้น ต่างเป็นทั้ง “รุ่นพี่-รุ่นน้อง” ร่วมรั้วโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า และ “นายใหญ่-ลูกน้อง” บนเส้นทางการเมือง สมัยที่ “ทักษิณ” เป็นนายกรัฐมนตรี และ “พล.อ.พัลลภ” เป็น รอง ผอ.กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (รมน.) ก็รับงานทั้งงานลับ งานใต้ดิน งานไหนแก้ปัญหาไม่ได้ พล.อ.พัลลภ ก็วิ่งแก้ปัญหาให้ทั่วประเทศ หรือกระทั่ง "เรื่องทำความชั่ว" นั้นคือเรื่องอะไร ?
แม้จะไม่ได้ระบุว่า “เหตุผลในอดีต” ที่ พล.อ.พัลลภ กล่าวถึงนั้นคือเรื่องอะไร แต่คอการเมืองต่างจับจ้องไปที่ “โศกนาฏกรรม” เมื่อ 18 ปีก่อน 28 เม.ย. 2547 ผู้ก่อความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่น ถูกเจ้าหน้าที่ปิดล้อมที่ “มัสยิดกรือเซะ” ศาสนสถานและโบราณสถานสำคัญใน จ.ปัตตานี หลังก่อเหตุบุกโจมตีจุดตรวจของฝ่ายความมั่นคง พร้อมกัน 11 จุด ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หนึ่งในนั้นคือจุดตรวจบ้านตันหยงลูโละ ปล้นอาวุธปืน และสังหารเจ้าหน้าที่ เสียชีวิต 5 นาย ก่อนที่กลุ่มผู้ก่อเหตุส่วนหนึ่ง เข้าไปหลบภัยในมัสยิด ที่อยู่ใกล้กัน
ระหว่างนั้น กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบยิงตอบโต้ออกมาประปราย เจ้าหน้าที่จึงปิดล้อมเอาไว้ และเจรจาให้คนที่อยู่ภายในมัสยิดยอมมอบตัว แต่ก็ไม่เป็นผล กระทั่งช่วงบ่าย “พล.อ.พัลลภ” รอง ผอ.รมน. ขณะนั้น อ้างตัวว่า เป็น “ผู้บัญชาการเหตุการณ์” ได้สั่งเจ้าหน้าที่ยิงอาวุธหนักเข้าไปในมัสยิด ทำให้คนที่อยู่ภายในเสียชีวิตทั้งหมด 32 คน อ้างว่า หากปล่อยให้เหตุการณ์ยืดเยื้อถึงช่วงกลางคืน เกรงว่าจะเกิดเหตุแทรกซ้อนจนคุมไม่ได้ ทั้งๆ ที่เวลาขณะที่เจ้าหน้าที่ตัดสินใจใช้อาวุธหนักเข้าถล่มนั้น เป็นเวลาเพียง 14.15 น. เท่านั้น
ภาพข่าวผู้ก่อความไม่สงบนอนเสียชีวิตในมัสยิดกรือเซะวันนั้น กลายเป็นที่สลดใจ “สะเทือนใจ” และชาวมุสลิมต่างประณามว่าเจ้าหน้าที่กระทำเกินกว่าเหตุ
“นายกฯ ทักษิณ” ขณะนั้นใช้วิธีสั่งตั้งคณะกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีมัสยิดกรือเซะ แต่ก็ไม่ได้บ่งชี้ว่า เจ้าหน้าที่กระทำการรุนแรงเกินกว่าเหตุ ขณะที่กระบวนการยุติธรรม อัยการสูงสุด สั่งไม่ฟ้องว่าเหตุการณ์นี้ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นความผิดของใคร เพราะฉะนั้นการหาตัวผู้รับผิดชอบต่อโศกนาฏกรรมในครั้งนี้ จึงเงียบหายไปกับสายลม
ย้อนกลับไปที่ชนวนเหตุไฟใต้ เหตุการณ์ปล้นปืน 413 กระบอก จากกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ หรือ ค่ายปิเหล็ง ต.มะรือโบออก อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 47 หนึ่งในชนวนที่ทำให้สถานการณ์บานปลาย ก็คือ เมื่อสื่อมวลชนถามว่า สิ่งที่กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบภาคใต้ต้องการคืออะไร คือ การแบ่งแยกดินแดน หรือเป็นอุดมการณ์ของกลุ่มหัวรุนแรงกันแน่ “นายกฯ ทักษิณ” ในขณะนั้น ก็กล่าวว่า “ไม่มีการแบ่งแยกดินแดน ไม่มีผู้ก่อการร้ายอุดมการณ์ มีแต่โจรกระจอก” ...
นับจากนั้นเป็นต้นมา สถานการณ์ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็เลวร้ายลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะเหตุลอบวางระเบิดและโจมตีเจ้าหน้าที่ ก็เกิดขึ้นเป็นรายวัน รวมทั้งผู้บริสุทธิ์ก็ถูกสังเวยชีวิต
เหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ นอกจากจะเกิดขึ้นในสมัยที่ “ทักษิณ” เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ตัวละครหลักของเหตุการณ์ดังกล่าว ประกอบด้วย 1. “พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง 2. “พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี” รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน 3. “พล.ท.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี” แม่ทัพภาคที่ 4 ซึ่ง พล.อ.พัลลภ ก็เป็นคนที่นายกฯทักษิณตั้งมา ให้ช่วยดูแลภารกิจภาคใต้กับมือ แต่หลังเหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ ก็แค่ถูกย้ายไปรับผิดชอบงานด้านอื่นแทน แต่กลับถูกนายกฯทักษิณ ปลดออกจาก ผอ.รมน. เพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง อย่างเหตุการณ์ “คาร์บอมบ์” ที่แยกบางพลัด ที่ถูกฝ่ายการเมืองมองว่าจัดฉาก เพราะดันมีชื่อของอดีตคนขับรถ พล.อ.พัลลภ นั่นเอง
แต่ก็ใช่ว่า “พล.อ.พัลลภ” จะห่างหายไป เพราะในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง นปช. พล.อ.พัลลภ ก็ยังบอกว่า นายใหญ่ทักษิณ มีคำสั่งให้จัดตั้ง “กองทัพประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” โดยมี “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต เป็นผู้บัญชาการสูงสุด หรือแม้กระทั่งสมัยน้องสาวทักษิณ อย่าง “นายกฯ ยิ่งลักษณ์” ขณะนั้นถูกกลุ่ม กปปส. ชุมนุมเป่านกหวีดขับไล่ ศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) ในขณะนั้น ก็ยังเรียกใช้บริการ “พล.อ.พัลลภ” มาช่วยงานอีก
ความสัมพันธ์ระหว่าง “ทักษิณ กับ พล.อ.พัลลภ” ในวันนั้น ในฐานะที่ทำงานทั้งบนดิน-ใต้ดินตลอดมา แม้ไม่รู้ว่าจะเป็นอาการคนแก่ขี้น้อยใจ หรือจะตัดขาดกันแบบผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ แต่หากย้อนรอยเส้นทางมิตรภาพ จากรุ่นพี่-รุ่นน้อง จปร. ถึงนายใหญ่กับลูกพรรค อาจเรียกได้ว่าบทบาทบนหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยนั้น โลดแล่น-โลดโผน แบบชนิดที่ว่าไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง
** “ธนาธร” นายกฯโซเชียล ติดโควิด “ลุงตู่” นายกฯตัวจริง แค่โดนป้ายสี !!
เป็นประเด็นร้อนประจำวัน เมื่อ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ประธานคณะก้าวหน้า โพสต์ว่าตัวเองพลาดท่า “ติดเชื้อโควิด” มาจากต่างประเทศ ... ก็มีทั้งกองเชียร์ กองแช่ง เข้าไปแสดงความเห็นกันมากมายหลายหลาก แน่นอนว่า ถ้อยคำ ภาษาที่ใช้ ค่อนข้างรุนแรง แสดงจุดยืนกันชัด
ขณะเดียวกัน ในบรรดาเกรียนคีย์บอร์ดเหล่านั้น ก็ถือโอกาสปล่อยข่าวว่า “นายกฯ ตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ติดโควิดเหมือนกัน ...แบบว่า ถ้า “ธนาธร” ตกอยู่ในความเสี่ยง ก็ต้องลาก “ลุงตู่” ลงไปเสี่ยงด้วย!!
“ธนาธร” โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ ว่า เดินทางกลับจากต่างประเทศ (3 ม.ค.) ได้กักตัว และตรวจโควิดตามระเบียบ สธ. ผลออกมาเป็นบวก... ตอนนี้อยู่ในระหว่างการกักตัวตามมาตรการของรัฐบาล และปฏิบัติตัวภายใต้คำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด สภาพร่างกายไม่มีอาการใดๆ สุขภาพแข็งแรง และเป็นปกติดี...
ขณะที่ “ลุงตู่” เริ่มงานวันแรกของปี ด้วยการประชุม ครม. ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ สั่งยกเลิกการทำบุญตักบาตรต้อนรับปีใหม่ 2565 ที่ทำเนียบรัฐบาล พร้อมมีคำสั่งให้นักข่าวทำเนียบฯ เวิร์กฟรอมโฮม ไปถึงวันที่ 17 ม.ค. ค่อยมาเจอกันใหม่...
กอปรกับมีกระแสข่าวว่าในทีมอารักขา และผู้ติดตามนายกฯ มีผู้ติดเชื้อโควิด มีบุคคลที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง ก็เลยทำให้ “ข่าวปล่อย” ที่ว่า “ลุงตู่ติดโควิด” มีน้ำหนักไปด้วย
ทำเอา “ธนกร วังบุญคงชนะ” โฆษกรัฐบาลต้องรีบออกมาดับกระแสว่า ไม่เป็นความจริง ลุงตู่ ไม่ได้ติดเชื้อโควิด ยังสุขภาพแข็งแรง ยังทำงานให้กับประชาชนต่อไปได้
ตามข่าวที่ปรากฏ “ลุงตู่” ฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ไป 2 เข็ม และก่อนเดินทางไปร่วมประชุมที่ต่างประเทศช่วงต้นเดือน พ.ย. 64 ก็ฉีดไฟเซอร์ เป็นเข็มที่ 3 .... ส่วน “ธนาธร” ไม่ชัดเจนว่า ฉีดวัคซีนอะไรไปบ้าง และฉีดไปกี่เข็มแล้ว!!