หนาวยกพรรค! ป.ป.ช. เรียก “ศรีสุวรรณ” ให้ถ้อยคำเพิ่ม ปมร้องสอบ “ทักษิณวิดีโอคอล” ครอบงำเพื่อไทย “ตั๋วส้ม” ทำพิษ ติ่งพรรคส้ม จับพิรุธ! หลังลือ “ก้าวไกล” แตกขั้ว “พิธา” ไม่อยากเป็นหุ่นเชิด ให้ใครบางคน?
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (27 ธ.ค. 64) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น หนาวยกพรรค! ป.ป.ช. เรียก “ศรีสุวรรณ” ให้ถ้อยคำเพิ่ม ปมร้องสอบ “ทักษิณวิดีโอคอล” ครอบงำเพื่อไทย
โดยระบุว่า หลังจากเป็นประเด็นให้มีการร้องเรียนและยื่นต่อ ป.ป.ช. ให้สอบกรณีที่ นายทักษิณ ชินวัตร ได้วิดีโอคอลกลางงานเลี้ยง สมาชิกพรรคเพื่อไทย ว่า เข้าข่ายครอบงำพรรคหรือไม่นั้น
ต่อมาเมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 64 นายสนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษากรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ได้เปิดเผยความคืบหน้าเรื่องนี้ ระบุว่า กกต. เรียกตนมาให้ถ้อยคำจากกรณีที่ยื่นเรื่องร้องต่อ กกต. ให้ยุบพรรคเพื่อไทย เนื่องจาก นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี วิดีโอคอลงานเลี้ยงวันเกิด นายเกรียง กัลป์ตินันท์ สมาชิกพรรคเพื่อไทย อดีตสมาชิกบ้านเลขที่ 111 โดยคุยกับสมาชิกพรรคผ่านวิดีโอคอล ซึ่งอาจขัดและฝ่าฝืนต่อ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 มาตรา 28, 29 และมาตรา 74(1) เข้าข่ายครอบงำพรรคเพื่อไทยหรือไม่นั้น
“ผมกล่าวหาพรรคเพื่อไทย และอดีตนายกฯ ทักษิณ ว่า กระทำผิดต่อระบอบประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญ โดยอดีตนายกทักษิณ ได้ชี้นำครอบงำ ทำจริงและทำให้เห็น ซึ่งจากคำพูดดังกล่าวของท่านกับสมาชิกพรรค ว่า ไม่ต้องห่วงที่มีคนลาออกจากพรรค แม้รับเงินแล้วต้องกลับมา”
ล่าสุด ทางด้าน นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตนเองได้รับหนังสือจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ไปให้ถ้อยคำในวันนี้ เรื่องที่สมาคมฯ ได้ร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 64 ที่ผ่านมา กรณีมีการเผยแพร่คลิปวิดีโอที่มี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี วิดีโอคอลเข้ามาพูดคุยกับ ส.ส. และผู้บริหารของพรรคเพื่อไทย กลางวงงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดนักการเมืองดัง ในพื้นที่ย่านเหม่งจ๋าย เมื่อวันที่ 12 ต.ค. ที่ผ่านมา ว่า กระทำดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายหรือครอบงำหรือชี้นำพรรคการเมืองหรือไม่นั้น
กรณีดังกล่าวมีการจัดเลี้ยง ส.ส. และผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก โดยมีการเสิร์ฟอาหารหวานคาว และที่สำคัญ มีการเสิร์ฟไวน์หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในงานเลี้ยงดังกล่าวด้วย ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนด ฉบับที่ 34 (ในขณะนั้น) ที่ออกตามความใน มาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 2548 ประกอบ มาตรา 34 (6) ของ พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ด้วย ซึ่งผู้ที่อยู่ในงานเลี้ยงดังกล่าวส่วนใหญ่เป็น “ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” แต่กลับปรากฏว่าได้กระทำเสียเอง ซึ่งอาจเข้าข่ายการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง อันอาจเป็นความผิดตามกฎหมาย ซึ่งอยู่ในอำนาจของ ป.ป.ช. ที่จะทำการไต่สวน วินิจฉัย และเสนออัยการฟ้องต่อศาลเพื่อลงโทษให้พ้นจากตำแหน่งและตัดสิทธิการสมัครรับเลือกตั้งได้
ส่วนกรณีที่งานเลี้ยงดังกล่าวมี ส.ส. และผู้บริหารของพรรคเพื่อไทย เป็นจำนวนมาก แต่กลับปล่อยให้นายทักษิณ วิดีโอคอลเข้ามาพูดคุยการเมืองด้วย อาจเป็นการฝ่าฝืน มาตรา 28 และ มาตรา 29 ของ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 หรือไม่ เพราะกฎหมายดังกล่าวกำหนดว่า
“ห้ามมิให้พรรคการเมืองยินยอมหรือกระทําการใดอันทําให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกกระทําการอันเป็นการควบคุม ครอบงํา หรือชี้นํา กิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทําให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม” ซึ่งเรื่องดังกล่าว สมาคมฯ ได้ร้องเรียนกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไว้แล้ว และคณะอนุกรรมการไต่สวนของ กกต. ได้เรียกไปไต่สวนแล้วเช่นกัน
“เรื่องที่เกิดขึ้น มีพยานหลักฐานเป็นวิดีโอคอล มีถ้อยคำผูกมัดชัดเจน พร้อมรูปถ่ายหน้าตาของ ส.ส. และผู้บริหารของพรรคเพื่อไทยกว่า 11 คน ซึ่งสมาคมฯ ได้มอบไว้ให้กับ ป.ป.ช. ทั้งหมด และน่าจะเป็นหลักฐานสำคัญที่ใช้เป็นหมัดน็อกพรรคการเมือง และหรือนักการเมืองที่ฝ่าฝืนกฎหมายได้ ซึ่งปีใหม่ 2565 น่าจะมีปรากฏการณ์ฟ้าผ่าแถวๆ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่อีกครั้งเป็นแน่แท้”
ขณะเดียวกัน THE TRUTH ยังโพสต์ประเด็น ติ่งพรรคส้ม จับพิรุธ! หลังลือสะพัด ก้าวไกลแตกขั้ว ตั้งข้อสงสัย “พิธา” เปลี่ยนไป ไม่อยากเป็นหุ่นเชิด ให้ใครบางคน?
เนื้อหาระบุว่า สืบเนื่องจาก ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ “ดร.นิว” นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และคณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก
ระบุว่า “ตั๋วส้ม = ตั๋วเส้นสายข้ามหัวคนทำงาน?#คนไม่เท่ากัน #ให้มันจบที่รุ่นเรา
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ รู้สึกคุ้นๆ กับตั๋วส้มบ้างไหมเอ่ย? ไปแจกใครไว้ช่วงที่ไปปงผางมาหรือเปล่า? คนสนิทของประธานคณะก้าวหน้ากลายมาเป็นตัวแทนผู้ลงสมัครเลือกตั้งซ่อม ส.ส.จากพรรคก้าวไกลได้อย่างไร? พรรคก้าวไกลเป็นของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ใช่หรือไม่? นายธนาธรเคยเห็นอกเห็นใจคนทำงานที่เขาลงพื้นที่อยู่แล้วบ้างหรือเปล่า? แบบนี้พอจะเรียกว่า #เผด็จการชนชั้นศักดินาส้มเน่า ได้ไหมครับ?”
จนต่อมาก็มีคอมเมนต์ในโซเชียล วิพากษ์วิจารณ์เรื่องเส้นสายในพรรคก้าวไกล ระบุว่า ใครคือผู้มีอิทธิพลในพรรค ใครคือเจ้าของเงิน ใครคือคนสั่งแล้วคนอื่นห้ามขัด…ชัดแจ้งส้มแจ๋….มานานแล้ว พร้อมตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ก็รู้กันอยู่แล้ว ว่าใครคือผู้มีอิทธิพล ครอบงำพรรคนี้
ทั้งนี้ เมื่อย้อนไปดูการตั้งข้อสังเกตของกองเชียร์พรรคก้าวไกล ในช่วงที่ผ่านมา เพียงไม่กี่สัปดาห์ เริ่มเสียงแตก วิพากษ์วิจารณ์ประเด็นที่ นายพิธา หนีโหวต รวมๆ แล้ว มีมากถึง 4 ครั้ง ว่า นอกจากจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้ว ยังเป็นการหักล้างพวกเดียวกันเองหรือไม่ จนถึงขั้นว่า พวกกลุ่มม็อบ 3 นิ้ว เตรียมจะแบนนายพิธา ประกาศลั่นว่า เลือกตั้งครั้งต่อไป อาจจะไม่มีหัวหน้าพรรคที่ชื่อพิธาอีกแล้ว
นอกจากนี้ ท่ามกลางข่าวลือว่าก้าวไกลกำลังแตกแยก มีรอยร้าวลึกๆ ในพรรค ท่าทีของนายพิธาก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ดูมีบทบาทน้อยลง จนกองเชียร์ก้าวไกลรายหนึ่ง ตั้งข้อสังเกตว่า พิธาอาจจะเบื่อ ที่มีใครบางคนคอยกดปุ่มสั่งให้ทำงานแล้วก็เป็นไปได้ เรียกว่า เป็นอาการถอดใจก็ว่าได้ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามต่อไปว่า ภายหลังจากที่พรรคก้าวไกล ดึงตัวผู้สมัคร ส.ส.คนใหม่เข้ามาร่วมทำงานด้วยนั้น จะเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้รอยร้าวชัดเจนยิ่งขึ้นด้วยหรือไม่
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ ความละม้ายคล้ายกันของพรรคเพื่อไทย กับพรรคก้าวไกล ซึ่งทั้งสองพรรค เป็นพรรคใหม่ของอดีตพรรคการเมืองที่ถูกยุบพรรค คือ ไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชน ก่อนมาเป็นพรรคเพื่อไทย ในปัจจุบัน ขณะที่พรรคก้าวไกล ก็คือ ปัจจุบันของอดีตพรรคอนาคตใหม่
เท่านั้นไม่พอ ทั้งสองพรรคยังเคยมีนายทุนพรรค อย่าง ทักษิณ ชินวัตร และ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่เคยมีตำแหน่งเป็นอดีตหัวหน้าพรรคทั้งคู่ แต่ตอนนี้ชะตากรรมยังแตกต่างกัน คนหนึ่งหนีโทษหนีคดี ลี้ภัยในต่างประเทศ อีกคน หลังถูกตัดสิทธิทางการเมือง ก็หันมาทำงานการเมืองแบบคณะก้าวหน้า
แต่กระนั้น ทั้งสองคนยังถูกจับตามองว่า อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวทางการเมือง เพื่อล้มรัฐบาลประยุทธ์ และจัดม็อบประท้วงเรียกร้อง “ปฏิรูปสถาบันฯ” หรือไม่ ด้วยเหตุที่ยังไม่ปล่อยวางทางการเมือง และยังมีข่าวสนับสนุนม็อบ 3 นิ้วอีกด้วย
นอกจากนี้ ที่กำลังเป็นประเด็นให้พูดถึงกันมาก และหนึ่งในสองคนกำลังถูกยื่นเรื่องให้ กกต. และ ป.ป.ช.ไต่สวน กรณีวิดีโอคอล ส่อว่า “ครอบงำ” พรรคเพื่อไทย ส่วนอีกคน กำลังมีประเด็น “ตั๋วส้ม” หรือ เด็กเส้น ข้ามหัวคนในพรรคก้าวไกล ซึ่งก็ไม่ต่างกับการครอบงำพรรค?
นี่ขนาด ศาลฯยุบพรรคอนาคตใหม่ ก็มาจากกรณี ธนาธรให้พรรคกู้ยืมเงิน 191 ล้านบาท ซึ่งอาจก่อให้เกิดการครอบงำพรรค วันนี้ก็มีประเด็นให้เห็นแล้ว ว่า ถ้าปล่อยไปจะเกิดอะไรขึ้น
ทั้งหมดจึงสะท้อนให้เห็นว่า การทำงานการเมือง และต่อสู้ทางการเมืองของทั้งสองคน ส่อไปในทางสุ่มเสี่ยงทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายรัฐธรรมนูญเสียด้วยซ้ำ เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง
และสุดท้ายที่เหมือนกัน ก็คือ ต่างก็อ้างว่า ถูกกลั่นแกล้งรังแกทางการเมือง ทั้งที่ตัวเอง ทำผิด แต่ดูเบากฎหมาย ดูเบาปัญหา แล้วก็โยนผิดให้คนอื่น เพื่อเอาตัวรอด คนเหล่านี้ จึงไม่ใช่นักการเมืองหัวก้าวหน้าแต่อย่างใด หากแต่เป็นนักธุรกิจการเมือง ไม่แตกต่างกันแม้แต่น้อย หรือไม่จริง!?