ข่าวปนคน คนปนข่าว
**“ลุงป้อม” หงุดหงิด เมื่อ “ผู้ว่าฯ หมูป่า” บอกขาดคุณสมบัติ ลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.ไม่ได้
ในที่สุดก็มีความชัดเจนจากปาก “ผู้ว่าฯ หมูป่า” ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ที่เปิดจวนแถลงว่า ลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.ไม่ได้ เพราะขาดคุณสมบัติ
ก่อนหน้านี้ ในช่วงที่ ผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์ เพิ่งช่วย “13 หมูป่า” ออกจากถ้ำหลวง เชียงราย ชื่อเสียงกำลังฮอต ก็มีกระแสว่า น่าจะมาเป็นผู้ว่าฯ กทม. แต่ ผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์ ก็บอกว่า ได้ตั้งใจไว้แล้วจะอยู่จนเกษียณอายุราราชการ ...
วันนี้ “ผู้ว่าฯ หมูป่า” ได้รับการทาบทามจากพรรคพลังประชารัฐ พรรคใหญ่แกนนำรัฐบาล ให้ลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. ก็ยังคงยืนยันคำเดิม ว่า มาสายราชการก็อยากอยู่จนเกษียณ และรู้ตัวว่าไม่ถนัดที่จะเข้าไปอยู่พื้นที่หัวใจของประเทศ ขอดูแลพี่น้องในส่วนภูมิภาคดีกว่า ...ขอบคุณผู้ใหญ่ใจดีที่มาทาบทาม
“ผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์” บอกว่า ชีวิตราชการเติบโตมาจากกรมที่ดิน ก่อนจะได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พะเยา ลำปาง และ ปทุมธานี
“เมื่อยังสวมหมวกราชการ ก็อยากจะสวมหมวกราชการให้ดีที่สุด แล้วความภาคภูมิใจของราชการที่ดีที่สุด ก็คือ การเดินจากราชการไปอย่างสง่าผ่าเผย คือ ความตั้งใจ และเป็น intention (เจตนา) จริงๆ มีคนเคยถามผมว่า แล้วหลังชีวิตราชการจริงๆ อยากไปไหน ผมบอกว่า ผมอยากสอนหนังสือ ถ้าใครจำที่ถ้ำหลวงได้ วันนี้ความตั้งใจ คือ อยากเกษียณอายุราชการ และอยากสอนหนังสืออยู่เสมอ”
“ผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์” ยังบอกว่า การเป็นผู้ว่าฯ แต่ละจังหวัดต้องย้ายทะเบียนบ้านเข้าจังหวัดนั้นๆ วันนี้ทะเบียนบ้านของตนเองยังอยู่ที่ จ.ปทุมธานี ดังนั้น คุณสมบัติจึงเป็นไปไม่ได้
“ขอบคุณพี่น้อง ผู้ใหญ่ใจดีหลายๆ คนที่พยายามชวน และทาบทาม และถือเป็นการให้เกียรติ รวมถึงประชาชนที่บอกอยากให้ไปช่วย กทม. ถือเป็นเกียรติยศอย่างสูง แต่ผมเพิ่งย้ายมาอยู่ปทุมธานีแค่ 2 เดือน จึงไม่รู้จะตอบคนปทุมฯ อย่างไร ...อีกทั้งเชื่อว่า จากการที่มาอยู่ 2 เดือน คนปทุมฯ เห็นความเปลี่ยนแปลง อยากให้เป็นผู้ว่าฯปทุมธานีต่อ จึงขอให้สื่อมวลชนไปตีความเอง”
เมื่อไปเปิดดูคุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. กำหนดว่า 1. สัญชาติไทยโดยการเกิด 2. อายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบห้าปีบริบูรณ์ในวันเลือกตั้ง และ 3. มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตกรุงเทพมหานคร เป็นเวลาติดต่อกันจนถึงวันสมัครไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบวัน หรือมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตกรุงเทพมหานคร และได้เสียภาษีตามกฎหมายว่าด้วยภาษีโรงเรือน และที่ดิน หรือตามกฎหมายว่าด้วยภาษีบำรุงท้องที่ให้ กรุงเทพมหานครในปีที่สมัคร หรือปีก่อนที่สมัครหนึ่งปี กรณีมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านไม่น้อยกว่า 180 วัน นับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง
ที่ ผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์ บอกขาดคุณสมบัติคือ ข้อ 3 ไม่ได้มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตกรุงเทพฯ 180 วัน ... ถ้าจะย้ายตอนนี้การเลือกตั้งต้องยืดไปอีก 6 เดือน ซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่ “ลุงตู่” แพลนว่าจะเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. กันกลางปีหน้า
แต่ “ผู้ว่าฯ หมูป่า” ก็บอกชัดแล้วว่าไม่สมัคร !!
ในวันเดียวกับที่ ผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์ แถลงข่าว ทางพรรคพลังประชารัฐก็มีการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค เพื่อหาข้อสรุปว่าจะส่งผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ในนามพรรค หรือไม่ และจะส่งใคร เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงยังไม่ได้ข้อยุติ
“ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ยอมรับว่า “ผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์” มีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ จึงได้ให้กรรมการบริหารพรรคเฟ้นหาผู้สมัครกันต่อไป ...เมื่อถูกผู้สื่อข่าวถามว่า อีกนานไหมที่พรรคจะได้ข้อสรุปในเรื่องนี้.... “ลุงป้อม” คงอยู่ในอารมณ์หงุดหงิด จึงตอบว่าว่า... เป็นสื่อจะมายุ่งอะไร!!
ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า ถึงที่สุดแล้วพรรคพลังประชารัฐ จะส่งผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.หรือไม่ ...ถ้าส่ง คนนั้นจะเป็นใคร?
**“จาตุรนต์” ซมซานกลับ “ค่ายเถ้าแก่” เจอ “ลูกเหลิม” ฟาดพรรษาขาดแล้ว ให้ไปต่อท้ายแถว
ท่ามกลางกระแสข่าว “เลือดไหลออก” เพราะกลัวพรรคเพื่อไทยจะถูกยุบในอนาคตอันใกล้
พอมี “บิ๊กเนม” กลับคืนรัง ก็เลยต้องตีปิ๊บดี๊ด๊ากันเป็นพิเศษ
“บิ๊กเพื่อไทย” นำโดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค พร้อมด้วย “เสี่ยเสริฐ” ประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค พร้อมด้วยแกนนำพรรคมากหน้าหลายตา ชักแถวมาร่วมต้อนรับการกลับเข้าพรรคของคนคุ้นเคยอย่าง “เสี่ยอ๋อย” จาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี กันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง
โดยควงน้องร่วมสายเลือดอย่าง “เสี่ยโก้” วุฒิพงษ์ ฉายแสง อดีต ส.ส.ฉะเชิงเทรา และอดีต รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมด้วย “เจ๊เปิ้ล” ฐิติมา ฉายแสง อดีต ส.ส.ฉะเชิงเทรา และอดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คืนเหย้า “ค่ายเพื่อไทย” ในครั้งนี้ด้วย
โอกาสเดียวกัน ก็ยังมีอดีต ส.ส.หลายคน อาทิ “นพ.ภูมินทร์ ลีธีระประเสริฐ” อดีต ส.ส.ศรีสะเกษ และอดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ “รองฯ มาด” สามารถ แก้วมีชัย อดีต ส.ส.เชียงราย และอดีตรองประธานสภาฯ เป็นต้น ที่กลับเข้ามาสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย
อย่างไรก็ดี สปอตไลต์ ย่อมสาดส่องไปที่ “จาตุรนต์” เป็นพิเศษ เพราะถือเป็นนักการเมืองเบอร์ใหญ่ เคยเป็นถึงรองนายกฯในสมัย “รัฐบาลทักษิณ” และยังสร้างวีรกรรมอยู่กับพรรคไทยรักไทย ในฐานะรักษาการหัวหน้าพรรคแทน “เถ้าแก่” ทักษิณ ชินวัตร จนนาทีสุดท้าย ก่อนถูกตัดสินยุบพรรคหลังรัฐประหาร 2549 และโดนตัดสิทธิ์การเมืองไป 5 ปี
เมื่อพ้นโทษแบนทางการเมือง ก็เป็นสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ที่ได้รับบำเหน็จเข้ามามีตำแหน่งใน “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ได้นั่งกระทรวงใหญ่ รมว.ศึกษาธิการ
กระทั่งรัฐประหาร 2557 “จาตุรนต์” แสดงการต่อต้าน คสช. โดยไม่ไปรายงานตัว ก่อนจะถูกควบคุมตัวและแจ้งข้อหาในภายหลัง ส่งผลให้ “เสี่ยอ๋อย” ที่มีชื่อจัดตั้งว่า “สหายสุภาพ” ช่วงหลบหนีเข้าป่าหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ 16 จึงถูกยกย่องว่าเป็นวิถีของ “นักประชาธิปไตย” แห่งยุค
แต่ความเบอร์ใหญ่ของ “เสี่ยอ๋อย” ส่งผลให้ไม่มีที่ยืนใน “ค่ายเพื่อไทย” เมื่อครั้งเลือกตั้ง 2562 และด้วยยุทธศาสตร์ “แตกแบงก์พัน” ทำให้ “จาตุรนต์” ต้องจำใจไปเข้าสังกัดใหม่ “ไทยรักษาชาติ” ด้วยข้อเสนอจะได้กินตำแหน่งแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค
แต่ก็อย่างที่ทราบ “จาตุรนต์” ไม่เพียงแห้วตำแหน่งแคนดิเดตนายกฯ ต้นสังกัดเองก็ถูกยุบพรรค หมดสิทธิ์ลงเลือกตั้ง ทำเอาเจ้าตัว “เสียศูนย์” ไปไม่น้อย
ในช่วง “รัฐบาลประยุทธ์” หลังการเลือกตั้ง 62 “จาตุรนต์” ก็ยังคงวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอย่างดุเดือด คู่ขนานกับการต่อสู้คดีในสมัย คสช. ก่อนที่ศาลจะยกฟ้อง ในคดียุยงปลุกปั่นในที่สุด
ที่น่าสนใจคือ บางช่วง “เสี่ยอ๋อย” ก็หันกลับมาวิพากษ์จุดยืนของ “ค่ายเพื่อไทย” อยู่บ่อยครั้ง และมีท่าทีเอียงไปทาง “ค่ายอนาคตใหม่-ก้าวไกล” มากกว่า
คล้ายกับว่าเคมีของนักประชาธิปไตยจ๋า อย่าง “จาตุรนต์” จะดูไปด้วยกันไม่ได้กับ “ค่ายนายใหญ่” กระทั่งมีการประกาศร่วมกับ “อดีตคนเพื่อไทย-คนเสื้อแดง” ที่ย้ายวิกมาอยู่ที่ พรรคไทยรักษาชาติ ด้วยกันว่าจะไม่หันกลับไปเข้ารังเก่าอีกแล้ว จะเดินหน้าทำพรรคการเมืองใหม่ในชื่อ “พรรคเส้นทางใหม่” ที่หวังขายภาพความเป็นนักประชาธิปไตยของ “จาตุรนต์” และพลพรรคแกนนำเสื้อแดงบางส่วน
ในช่วงตั้งไข่ “จาตุรนต์” ถึงกับลั่นวาจาว่า พรรคเส้นทางใหม่ เป็นอิสระ ไม่ใช่สาขาของเพื่อไทยอย่างแน่นอน
ทว่า เมื่อมีความชัดเจนจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่แก้กติกาเลือกตั้งเป็น “บัตร 2 ใบ” ของแสลงพรรคใหม่-พรรคเล็ก ก็ทำเอา “ค่ายเส้นทางใหม่” ทู่ซี้ไปต่อไม่ไหว
“เสี่ยอ๋อย” หมดทางเลือก ต้องซมซานกลับมาเดิน “เส้นทางเก่า” เป็นม้าที่กลับมากินหญ้ารางเดิม ยอมกลับมาตายรัง ที่ “พรรคเถ้าแก่” ซึ่งกดทับความเป็นนักประชาธิปไตยของตัวเองอีกครั้ง
และต้องยอมรับว่าระยะหลัง “พรรคเพื่อไทย” ถูกตั้งคำถามถึงจุดยืนประชาธิปไตยบ่อยครั้ง ก็เลยพยายามปั่นจุดขาย จัดป้ายไฟ “สุภาพบุรุษประชาธิปไตย” มาต้อนรับ “จาตุรนต์” นั่นเอง!!
นัยหนึ่งก็เพื่อโชว์ความเชื่อมั่นว่า มี “บิ๊กเนม” กลับเข้าพรรค แม้จะมีข่าวเนืองๆ ว่าคงไม่รอดโดนยุบพรรคแน่ เพื่อป้องกันเลือดไหลออก
อีกนัย หากวางเป้า “แลนด์สไลด์” เพื่อพลิกกลับมาจัดตั้งรัฐบาล ก็ต้องอาศัยภาพ “จาตุรนต์” ช่วงชิงคะแนนคืนจาก “ค่ายก้าวไกล” ซึ่งที่ผ่านมาโดดเด่นกว่าพรรคเพื่อไทย ในแง่การต่อสู้เชิงประชาธิปไตยด้วย
กระแสภายนอกยังไม่รู้เป็นอย่างไร แต่กระแสภายในพรรคชักไม่สู้ดี .. เมื่อ “เสี่ยหนุ่ม” วัน อยู่บำรุง ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย ลูกชายของ “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” แกนนำพรรคเพื่อไทยคนดัง โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวอย่างมีนัยว่า “ยืนยันคำเดิมนะ.. ไปต่อท้ายแถว พรรษาขาด ต้องนับหนึ่งใหม่ !!!!”
หรือไม่กี่วันก่อนนี้ก็โพสต์ไว้ว่า “ไอ้พวกที่เหิมเกริมออกจากบ้าน แต่ไปไม่รอดจนต้องซมซานกลับมา...ควรไปต่อท้ายแถวนะ!!!! ”
ตีความไม่ยากว่าย่อมหมายถึง “อดีตสมาชิกพรรค” ที่ทยอยกลับมาที่ “ค่ายเพื่อไทย”
ก็ไม่รู้ว่า “เสี่ยหนุ่ม” หมายถึง “เสี่ยอ๋อย-จาตุรนต์” หรือใครเป็นพิเศษ หรือเปล่า ?!!