เผยมติเอกฉันท์ศาล รธน.สั่ง 5 แกนนำ กปปส.พ้นสภาพ ส.ส. ชี้ ปมถูกเพิกถอนสิทธิ-คุมขังระหว่างอุทธรณ์ แม้คดียังไม่ถึงที่สุด รธน.กำหนดชัดเป็นเหตุให้หลุดจากตำแหน่ง ตีความเป็นอื่นไม่ได้ แจงศาลรับรองการชุมนุมเป็นเสรีภาพ แต่ไม่รับรองการทำผิดทางอาญา
วันนี้ (8 ธ.ค.) ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้สมาชิกภาพ.ส.ส.ของ นายชุมพล จุลใส ส.ส.เขต 1 จ.ชุมพร พรรคประชาธิปัตย์ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ส.ส.บัญรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ นายอิสสระ สมชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปปัตย์ นายถาวร เสนเนียม ส.ส.เขต 6 พรรคประชาธิปัตย์ จ.สงขลา และ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ ผู้ถูกร้องที่ 1-5 สิ้นสุดลงจากกรณีศาลอาญามีคำพิพากษาลงโทษจำคุก ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.317/2564 เมื่อวันที่ 24 ก.พ. 64 และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง นายชุมพล นายอิสสระ และ นายณัฏฐพล 5 ปี นับแต่วันที่มีคำพิพากษาที โดยศาลอาญาออกหมายจำคุกระหว่างอุทธรณ์ ฎีกา และขังผู้ถูกร้องทั้ง 5 ที่เรือนนำจำพิเศษกรุงเทพฯ แม้ต่อมาผู้ถูกร้องทั้ง 5 ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว และคดีอยู่ระหว่างการอุทธรณ์ ซึ่งการรับฟังคำวินิจฉัยวันนี้ มีเพียง นายพุทธิพงษ์ และ นายถาวร ที่เดินทางมารับฟังคำวินิจฉัยด้วยตัวเอง
โดยศาลรัฐธรรมนูญให้เหตุผลว่า เห็นคดีนี้ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ระหว่างการพิจารณาเมื่อวันที่ 22 มี.ค. 64 มีพระบรมราชโองการให้ผู้ถูกร้องที่ 2, 4 และ 5 พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี ศาล รธน.จึงสั่งไม่รับคำร้องกรณีความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวของผู้ถูกร้องที่ 2, 4 และ 5 และวันที่ 31 พ.ค. 64 มีประกาศสภาผู้แทนราษฎรว่าผู้ถูกร้องที่ 5 มีหนังสือขอลาออกจากการเป็น ส.ส. ตั้งแต่ 29 พ.ค. 64 เพื่อให้ผู้มีชื่อในบัญชีรายชื่อลำดับถัดไปของพรรคพลังประชารัฐ เลื่อนขึ้นมาเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า แม้ผู้ถูกร้องที่ 5 ลาออกจาก ส.ส.เป็นเหตุให้สมาชิกภาพสิ้นสุดลง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101(3) แต่ยังมีเหตุให้พิจารณาวิฉัยคดีต่อไปตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 51
จึงกำหนดประเด็นวินิจฉัยว่า สมาชิกสภาพ ส.ส.ของผู้ถูร้องทั้ง 5 สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101(6) ประกอบมาตรา 98 (4) (6) และมาตรา 96(2) หรือไม่ นับแต่เมื่อใด
พิจารณาแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 101 บัญญัติว่า สมาชิกสภาพ ส.ส.สิ้นสุดลงเมื่อ (6) มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98 ซึ่งบัญญัติว่าบุคคลที่มีลักษณะดังต่อไปนี้ ต้องห้ามไม่ให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (4) เป็นบุคคลที่ห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ตามมาตรา 96(1) (2) (4) อนุมาตรา (6) ซึ่งบัญญัติว่า ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล และมาตรา 96 บัญญัติว่าผู้มีลักษณะต่อไปนี้ห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง (2) อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่ว่าคดีนั้นจะถึงที่สุดแล้วหรือไม่
การที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้นำลักษณะต้องห้ามของบุคคลมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ตามมาตรา 98 มาเป็นเหตุแห่งการสิ้นสุดสมาชิกภาพ ส.ส.ตามมาตรา 101 เนื่องจากการดำรงตำแหน่ง ส.ส. เป็นผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติต้องได้รับการกลั่นกรองคุณสมบัติเบื้องต้น และลักษณะต้องห้าม เพื่อเป็นหลักประกันว่า บุคคลนั้นต้องมีความประพฤติและคุณสมบัติอันเป็นที่ยอมรับ เชื่อถือของสาธารณชน ปฏิบัติอย่างซื่อสัตย์สุจริต ปราศจากเหตุมัวหมองในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ไม่ทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่เกียรติ และศักดิ์ศรี ของสภาผู้แทนราษฎร ส.ส.จึงต้องมีคุณสมบัติ และไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ มาตรา 96(2) และมาตรา 98(6) บัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจน ไม่อาจตีความเป็นอย่างอื่นได้ว่า สมาชิกภาพ ส.ส.ต้องสิ้นสุดลง เมื่อต้องคำพิพากษาให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง หรือให้จำคุก และถูกคุมขังอยู่ในหมายของศาล โดยไม่ต้องให้คดีถึงที่สุดก่อน
ข้อโต้แย้งที่ว่าการทำผิดอาญาของผู้ถูกร้องที่ 1, 3 และ 5 มาจากการชุมนุมเพื่อแสดงออกทางการเมือง ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญเคยรับรองว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการใช้สิทธิในการชุมนุมดังปรากฎในคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญหลายคำสั่ง
คำสั่งที่กล่าวอ้างเป็นกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย แม้ปรากฏถ้อยคำว่าการชุมนุมเป็นการแสดงออกเพื่อแสดงความคิดเห็นทางการเมือง อันเป็นสิทธิโดยชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ แต่หากการกระทำนั้นเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา หรือกฎหมายอื่นใด เป็นหน้าที่ของผู้มีความรับผิดชอบในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาจะต้องไปดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย จึงเป็นกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้รับรองการกระทำซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมายอาญาหรือกฎหมายอื่นไว้ ดังนั้นข้อโต้แย้งนี้จึงฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่โต้แย้งว่าการที่ศาลอาญาออกหมายจำคุกระหว่างอุทธรณ์ไม่ใช่การคุมขังโดยหมายของศาลตามมาตรา 98(6) นั้น ก็ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่โต้แย้งว่าเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญมาตรา 98(6) ต้องเป็นการถูกคุมขังจนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ได้นั้น รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดเงื่อนไขดังกล่าวข้อโต้แย้งจึงฟังไม่ขึ้น ส่วนข้อโต้แย้งที่ว่ารัฐธรรมนูญมาตรา 125 วรรคสี่ บัญญัติคุ้มครอง ส.ส.ระหว่างสมัยประชุม การที่ศาลอาญาอ่านคำพิพากษาและออกหมายขังระหว่างรออุทธรณ์เป็นการขัดขวาง ส.ส.จะมาประชุมสภานั้น บทบัญญัติดังกล่าวมุ่งคุ้มครอง ส.ส.ระหว่างพิจารณาคดี แต่ในกรณีการพิจารณาคดีเสร็จสิ้นจนถึงขั้นตอนการอ่านคำพิพากษาย่อไม่อาจอ้างความคุ้มครองได้ ข้อโต้แย้งดังกล่าวจึงฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน ส่วนข้อโต้แย้งที่อ้างว่าเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญมาตรา 98(4)(6) บัญญัติไว้เพื่อควบคุมคุณสมบัติของบุคคลก่อนการสมัครรับเลือกตั้ง เท่านั้น เห็นว่าหาก ส.ส.มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98(4)(6) ระหว่างดำรงตำแหน่ง ย่อมเป็นเหตุให้ ส.ส.สิ้นสุดลงระหว่างดำรงตำแหน่งได้ ไม่ใช่เป็นเพียงลักษณะต้องห้ามขณะใช้สิทธิรับสมัครเลือกตั้ง ส.ส. ข้อโต้แย้งดังกล่าวจึงฟังไม่ขึ้น และข้อโต้แย้งที่อ้างว่าคดีที่ศาลมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งต้องเป็นคดีถึงที่สุดนั้นฟังไม่ขึ้น
อาศัยเหตุผลข้างต้น ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ว่าสมาชิกภาพ ส.ส. ของผู้ถูกร้องที่ 1, 3, 5 สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101(6) ประกอบมาตรา 98(4)(6) ประกอบมาตรา 96(2) และสมาชิกภาพของผู้ถูกร้องที่ 2 และ 4 สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ 101(6) ประกอบมาตรา 98(6) นับตั้งแต่วันที่หยุดปฏิบัติหน้าที่ คือ วันที่ 7 เม.ย. 64 และให้ถือว่าวันที่ตำแหน่ง ส.ส. ของผู้ถูกร้องที่ 1-4 ว่างลงคือวันที่ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัย คือ วันที่ 8 ธ.ค. 64
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คำวินิจฉัยดังกล่าว ทำให้มีตำแหน่งของ ส.ส.เขตว่างลง ในพื้นที่เขต 1 ชุมพร และ เขต 6 สงขลา และให้มีการตราพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งภายใน 45 วัน นับตั้งแต่วันที่ศาลอ่านคำวินิจฉัย คือ วันที่ 8 ธ.ค. 2564 ส่วนตำแหน่ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อที่ว่างลง ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรประกาศรายชื่อผู้ที่อยู่ในบัญชีลำดับถัดไปของพรรคการเมืองนั้นมาเป็น ส.ส.แทน และลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาภายใน 7 วัน ซึ่งในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ คือ นายต่อศักดิ์ อัศวเหม ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ คือ นายจักพันธ์ ปิยะพรไพบูลย์