“สาธิต” เผย มติ ครม. ยึดตรวจ RT-PCR หากพบ “โอไมครอน” ในไทยต้องรีบรายงาน นายกฯ ถกหามาตรการทันที
วันนี้ (30 พ.ย.) เมื่อเวลา 13.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ให้ใช้วิธีตรวจเชื้อโควิด-19 แบบ RT-PCR กับผู้เดินทางเข้าประเทศเหมือนเดิม ซึ่งทางปฏิบัติยังใช้วิธีนี้อยู่ เพราะตามมติ ศบค. เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน ที่ให้ใช้การตรวจแบบ ATK แทน RT-PCR จะไม่มีผลบังคับวันที่ 16 ธันวาคม โดยเราจะใช้วิธีตรวจแบบนี้จนกว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลง หรือทราบข้อมูลว่าโอไมครอนมีผลแพร่กระจายเชื้อเร็วกว่าเดลตา หรือผู้ป่วยอาการรุนแรงกว่าหรือไม่ โดยเราจะติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิดจากประเทศที่มีการระบาดเชื้อดังกล่าว อย่างไรก็ตาม จำนวนหนามของไวรัสที่มีมากขึ้นเป็นข้อสันนิษฐานที่น่ากังวลแต่ก็ไม่ตื่นตระหนก โดยจะตรวจอย่างเข้มข้นมากขึ้น ทั้งทางอากาศ ช่องทางธรรมชาติ ทางบก และทางเรือ นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งการหน่วยงานความมั่นคงไปแล้วว่า ต้องจัดการอย่างเข้มข้นและมีการคาดโทษกรณีมีการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ปล่อยให้มีการเข้าประเทศผิดกฎหมาย
เมื่อถามว่า มติ ครม.ที่ให้ยึดการตรวจแบบ RT-PCR จะมีผลบังคับใช้เมื่อใด นายสาธิต กล่าวว่า ในทางปฏิบัติยังตรวจแบบ RT-PCR อยู่ เมื่อถามว่า ขณะนี้เชื้อโอไมครอนระบาดที่สิงคโปร์แล้ว กังวลจะเข้ามาไทยหรือไม่ นายสาธิต กล่าวว่า เราติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ขณะนี้ทราบว่าพบการระบาดในหลายประเทศ หากมีการตรวจพบเชื้อในคนที่เดินทางเข้าประเทศ เราจะตรวจอีกครั้งว่าเป็นสายพันธุ์อะไร สิ่งที่เรากังวลคือหากมาทางช่องทางธรรมชาติจะไม่ทราบว่าเป็นสายพันธุ์อะไร หากเข้ามาระบาดแล้วตรวจพบทีหลัง จะตามหาต้นตอยากขึ้น แต่ถ้าพบที่ต้นตอก็จะจัดการตามมาตรการได้
เมื่อถามว่า มีความกังวลกรณีคนไทยกลับจากพื้นที่เสี่ยงหรือไม่ นายสาธิต กล่าวว่า มีความเสี่ยงเท่ากัน เมื่อถามว่า พากพบเชื้อโอไมครอนขึ้นมา จะประกาศล็อกดาวน์เลยหรือไม่ นายสาธิต กล่าวว่า มาตราการของพล.อ.ประยุทธ์ หากตรวจพบต้องรีบรายงานให้ พล.อ.ประยุทธ์ ทราบทันที เพื่อหารือและให้ตัดสินใจอย่างรวดเร็วว่าจะมีมาตรการอย่างไร
เมื่อถามว่า การแพร่ระบาดของโอไมครอน จะกระทบการเลื่อนเปิดสถานบันเทิงหรือไม่ นายสาธิต กล่าวว่าหากยังไม่พบข้อมูลแพร่ระบาดก็ยังคงทำตามมาตรการเดิม แต่ก็ต้องเฝ้าระวังมากขึ้นและปฏิบัติการป้องกันตัวส่วนบุคคล ซึ่งเป็นไม้ตายในการป้องกันไวรัสทุกสายพันธุ์