ยังไม่หมด! สถ.เวียนผู้ว่าฯ “ระงับ” ท้องถิ่นเรียกเงินคืนเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ กรณีผู้สูงอายุได้รับบำนาญ จากหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือ จาก อปท. หลัง “ผู้ตรวจการแผ่นดิน” พบยังมี อปท.ดำเนินการเรียกเงินผู้สูงอายุ แถมบางแห่งอยู่ในขั้นดำเนินคดี ย้ำ พร้อมดำเนินการตาม “บอร์ดผู้สูงอายุ” หากได้ข้อสรุปนโยบายจ่ายเบี้ยฉบับใหม่
วันนี้ (19 พ.ย. 64) มีรายงานจากกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเช้า นายประยูร รัตนเสนีย์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) มีหนังสือด่วนที่สุดเลขที่ มท 0810.6/ว2742 ถึง ผู้ว่าราชการจังหวัด ทุกจังหวัด
เพื่อขอความร่วมมือจังหวัดแจ้ง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) “ระงับการเรียกเงินคืนเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ” ในกรณีผู้สูงอายุได้รับบำนาญ จากหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือ อปท. หลังจากเมื่อต้นสัปดาห์ สถ. มีวิทยุสื่อสารในราชการชี้แจงกรณีดังกล่าว ไปยัง อปท.แล้วครั้งหนึ่ง
หนังสือฉบับดังกล่าวระบุว่า สถ.ได้รับแจ้งจากสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ว่า ยังพบว่า มี อปท.ดำเนินการเรียกเงินคืนเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ กรณีผู้สูงอายุได้รับบำนาญจากหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
“ในการนี้ ขอความร่วมมือจังหวัดแจ้ง อปท.ให้ระงับเรียกเงินคืนเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ทั้งนี้ คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ ในการกำหนดนโยบายการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ อยู่ระหว่างการพิจารณาการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ที่เหมาะสม เมื่อ สถ.ทราบผลการดำเนินการจะแจ้งให้ทราบต่อไป”
เมื่อวันที่ 6 ต.ค. สถ.มีหนังสือ ซักซ้อมแนวทางการรับลงทะเบียนผู้มีสิทธิรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ง ผู้ว่าราชการจังหวัด ทุกจังหวัด
ตอนหนึ่งระบุว่า ขณะนี้คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ อยู่ระหว่างการพิจารณาคุณสมบัติของผู้มีสิทธิรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ที่จะกำหนดใหม่ หากคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ มีการกำหนดนโยบายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่ซัดเจน และมีผลให้กระทรวงมหาดไทยสามารถนำมากำหนดเป็นระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์ การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุของ อปท.ขึ้นใหม่แล้ว
กระทรวงมหาดไทย จักได้แจ้ง แนวทางในการดำเนินการรับลงทะเบียนผู้มีสิทธิรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 เพิ่มเติม ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทราบและถือปฏิบัติต่อไป
เมื่อต้นปี สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ร่วมหารือกับหลายหน่วยงาน เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียน กรณีการเรียกคืนเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่ได้รับซ้ำซ้อนกับเงินบำนาญพิเศษ ทำให้ผู้สูงอายุที่ถูกเรียกคืนเงินดังกล่าวเดือดร้อนกันทั่วประเทศ
มีมติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการปรับปรุงแก้ไขระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2552 อาศัยอำนาจตามมาตรา 33 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2560 โดยให้แล้วเสร็จภายใน 120 วัน
รวมถึงแก้ไขบทเฉพาะกาลให้ผู้ที่ได้รับเงินไปแล้วโดยสุจริต ไม่ต้องไปเรียกเงินคืนจากบุคคลนั้นๆ โดยเทียบเคียงกับคำพิพากษาศาลฎีกาหมายเลขคดีที่ 10850/2559 ซึ่งถือว่าเป็นลาภมิควรได้ แต่ได้รับเงินไว้โดยสุจริต จึงไม่ต้องคืนเงินดังกล่าว
ส่วนกรณีบุคคลที่ได้รับบำนาญพิเศษและได้นำเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุมาคืนภาครัฐแล้วนั้น ก็ถือว่าท่านแสดงสิทธิเจตนารมณ์ที่จะมาคืน ไม่ได้อยู่ในฐานะที่เดือดร้อน หรือเป็นผู้มีรายได้น้อย
“แสดงว่ามีเจตนาว่าจะไม่รับเงินก้อนนี้ แต่หากมีการแก้ไขระเบียบดังกล่าวแล้ว ผู้สูงอายุที่ได้รับบำนาญพิเศษก็อาจจะขอรับสิทธิรับเบี้ยผู้สูงอายุหลังจากนั้นได้ แต่คงไม่สามารถขอรับเงินที่มีการคืนไปแล้วได้”