xs
xsm
sm
md
lg

“โบว์” ค้านยกเลิก 112 สอน “ไอติม” กม.ปกป้อง “ประมุข” ไม่ใช่บุคคล “สมชาย” ซัด “ทอน-บูด” เก่งแต่ยุลูกชาวบ้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ “โบว์” ค้านยกเลิก 112 สอน “ไอติม” ขอบคุณภาพจากเพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH
อย่าให้อคติบังตา! “โบว์” อบรม “ไอติม” กษัตริย์ฟ้องเองไม่ควร ม.112 “ปกป้องตำแหน่งประมุข ไม่ใช่ตัวบุคคล” แนะปรับปรุง ค้านยกเลิก “ส.ว.สมชาย” ซัด “ธนาธร-ปิยบุตร” ดีแต่ยุลูกชาวบ้าน ท้าเปิดหน้า นำครอบครัวลงชื่อก่อน

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (6 พ.ย. 64) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น “โบว์” อบรม “ไอติม” “กษัตริย์ฟ้องเองไม่ควร” ม.112 “ปกป้องตำแหน่ง ไม่ใช่ตัวบุคคล”

โดยระบุว่า จากที่ พริษฐ์ วัชรสินธุ หรือ “ไอติม” อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ผู้ก่อตั้งกลุ่มรัฐธรรมนูญก้าวหน้า ออกมาโพสต์เฟซบุ๊ก เกี่ยวกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งกลายมาเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากนั้น

ทั้งนี้ เนื้อหาที่ นายพริษฐ์ โพสต์สาระสำคัญระบุว่า ผมไปร่วมลงชื่อ #ยกเลิก112 ซึ่งเป็นข้อเสนอที่อยู่ในกรอบของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ

คนบางกลุ่มอาจตัดสินใจฟ้องมาตรา 112 ด้วยเจตนาที่ต้องการปกป้องสถาบันฯ แต่เมื่อจำเลยถูกตัดสินว่าผิด ความคับแค้นใจก็ไปตกอยู่ที่สถาบันฯ ส่งผลให้สถาบันฯ กลายเป็นคู่กรณีโดยอัตโนมัติ แม้ในบางครั้งสถาบันฯ อาจจะไม่รับรู้ก็ตาม

เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ หลายประเทศ จึงมีการระบุ “ผู้ฟ้อง” อย่างชัดเจน อาทิ พระมหากษัตริย์ต้องมีพระราชกระแสรับสั่งหรือยินยอมให้ดำเนินคดีผ่านสำนักราชเลขาธิการ (สหราชอาณาจักร นอร์เวย์)

การให้อำนาจนายกรัฐมนตรี (ญี่ปุ่น) หรือกระทรวงยุติธรรม (เดนมาร์ก) เป็นคนฟ้องเท่านั้น

ในการฟ้องร้อง จะต้องได้รับการอนุมัติจากพระมหากษัตริย์ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในฐานะผู้เสียหาย หากพิสูจน์ได้ว่าบุคคลใดทำผิดจริง บุคคลนั้นก็ยังได้รับโทษทางอาญาเช่นเดียวกับการหมิ่นประมาทบุคคลทั่วไป (ซึ่งข้อนี้สามารถถกเถียงกันได้ว่าโทษจำคุก 0-2 ปี ฐานหมิ่นประมาท ณ ปัจจุบัน เป็นระยะเวลาที่สูงไปแล้วหรือไม่ ไม่ว่าสำหรับใครก็ตาม)

ล่าสุด วันนี้ (6 พ.ย. 64) โบว์ ณัฏฐา มหัทธนา นักกิจกรรมเคลื่อนไหวทางการเมือง ได้โพสต์ข้อความถึงการแก้ไข หรือ ยกเลิกมาตรา 112 อีกครั้ง ซึ่งน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง โดยสื่อผ่านทวิตเตอร์ หลายข้อความด้วยกัน ตามลำดับดังนี้

รูป โบว์ ณัฏฐา มหัทธนา ขอบคุณภาพจากเพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH
“เวลาใครบอกว่าอยากให้การหมิ่นประมาทเป็นแค่โทษทางแพ่งเพื่อส่งเสริม free speech และให้สังคมรู้จักอดทนอดกลั้นนี่ คือคุณกำลังบอกว่าให้คนถูกละเมิดอดทนต่อการกระทำของผู้ละเมิดนะคะ

นอกจากนี้ ในทางปฏิบัติศาลแทบไม่จำคุกใครด้วยข้อหาหมิ่นประมาทจากการกระทำผิดครั้งแรก โทษปรับทั้งนั้น ถ้าตัดสินจำคุกก็รอลงอาญา แต่การมีโทษจำคุกอยู่มันทำให้สังคมรู้สึกถึงน้ำหนักความผิด ความร้ายแรงต่อชีวิตคนผู้ถูกกระทำ ผู้เสียหายได้สัมผัสความยุติธรรมจากการตัดสินนั้น แม้จะเป็นการรอลงอาญา

แม้จะเป็นคดีจราจรก็ยังมีโทษหนักเบาไปตามฐานความผิด อะไรที่มันแย่มากกับสังคมก็มีโทษจำคุก เพื่อบอกว่าการกระทำอย่างนี้มันหนัก ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แบบแค่จอดรถผิดที่นะ แต่คุณเมาแล้วขับ มันทำร้ายคนอื่นได้ ถึงเวลาก็อาจรอลงอาญา แต่กฎหมายมันบอกให้คุณรู้ว่ากรรมนี้หนัก อย่าทำแล้วคิดจ่ายค่าปรับ

การให้กษัตริย์ฟ้องเองไม่ควรอยู่แล้ว คุณไม่จำเป็นต้องรู้ว่าท่านรู้สึกอย่างไรแล้วโยนให้ท่านตัดสินใจ เพราะกฎหมายนี้ไม่ได้ปกป้องตัวบุคคล แต่ปกป้องตำแหน่งประมุข จึงเป็นเรื่องของรัฐ ของประเทศ ไม่ใช่เรื่องตัวบุคคล

ทางแก้ปัญหาคือให้มีองค์กรทำหน้าที่
สุดท้ายก็แล้วแต่เสียงส่วนใหญ่ในสภาค่ะ”
https://thaipost.net/news-update/18353/

ภาพ พริษฐ์ หรือ “ไอติม” หลาน “อภิสิทธิ์” ขอบคุณภาพจากเพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 64 น.ส.ณัฏฐา ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก และทวีตข้อความบนทวิตเตอร์ ถึงเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 ว่า

สิ่งที่ควรพูดกันตรงๆ คือ ตัวบทบัญญัติมีปัญหาในหลักกฎหมายที่ควรปรับปรุงได้จริง ส่วนการละเมิดที่เกินเลย และ “ผิด” ก็มีจริง ไม่มีความจำเป็นอะไรต้องไปให้ท้ายกัน ต้องตรงไปตรงมากับสังคม จึงจะเกิดบรรยากาศที่คุยกันรู้เรื่อง

การปรับปรุงกฎหมายที่น่าพิจารณา คือ แยกความผิดฐานดูหมิ่น หมิ่นประมาทและอาฆาตมาดร้ายออกจากกันเพื่อให้กฎหมายมีความละเอียดขึ้น แล้วกำหนดบทลงโทษของแต่ละฐานความผิดให้เหมาะสม รวมถึงกำหนดองค์กรที่จะมีอำนาจฟ้องร้องได้เพื่อไม่ให้ใครฉวยโอกาสใช้ กม.เป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งกัน จะได้คัดกรองคดีที่มีน้ำหนักจริง ซึ่งเป็นประโยชน์

ทุกฝ่ายมีสิทธิรณรงค์ค่ะ ส่วนจะแก้ไขได้หรือไม่ อยู่ที่เสียงส่วนใหญ่ในสภา ก็ต้องเคารพกันตามกลไกประชาธิปไตย #ไม่ยกเลิก112 #สนับสนุนการปรับปรุงกฎหมายทุกมาตรา

ภาพ พริษฐ์ วัชรสินธุ หรือ “ไอติม” ขอบคุณภาพจากเพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH
สำหรับ “ไอติม” หรือ นายพริษฐ์ เป็นหลานชายของอดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในด้านการศึกษานั้น ได้รับทุน King’s Scholarship ไปเรียนที่โรงเรียน Eton College โรงเรียนมัธยมชื่อดังของอังกฤษ จบการศึกษาระดับปริญญาภาควิชาปรัชญาการเมืองและเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด...

ขณะเดียวกัน THE TRUTH โพสต์ประเด็น ส.ว.สมชาย ฟาด “ธนาธร-ปิยบุตร” ดีแต่ยุลูกชาวบ้านยกเลิก ม.112 ท้าเปิดหน้านำครอบครัวลงชื่อก่อน

เนื้อหาระบุว่า จากกรณีที่ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ออกมาโพสต์ข้อความถึงกรณีปัญหาของมาตรา 112 และบอกว่า มาตรา 112 มีบทลงโทษที่สูง ไม่มีการแยกฐานความผิดอย่างชัดเจน นั่นคือ หมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้าย เป็นการกระทำที่ไม่เหมือนกัน แต่พอเอามาเขียนปนยัดรวมกันไปอยู่ในมาตรา 112 ทั้งหมด แนวทางการใช้ก็จะปะปนกันไป และยังบอกว่า มาตรา 112 เปิดโอกาสให้ใครก็ได้ไปร้องทุกข์กล่าวโทษหรือไปแจ้งความที่สถานีตำรวจได้ ตรงนี้เองที่เปิดโอกาสให้มีการกลั่นแกล้งกันได้

นอกจากนี้ ก็ได้โพสต์ข้อความอีกว่า “112” ไม่ใช่แค่กฎหมายธรรมดา แต่เป็นมากกว่านั้น การปล่อยให้ “112” อยู่ต่อไป แบบเบาลง หรือปล่อยให้อวตารเป็นร่างอื่น คือ กินยาพารา แต่ก็มีโอกาสฟื้นคืนชีพกลับมาได้เสมอ ปฏิวัติที่ไม่ปฏิวัติไม่ใช่ปฏิวัติ โค้กที่ไม่มีน้ำตาลไม่ใช่โค้ก กาแฟที่ไม่ขมไม่ใช่กาแฟ ปฏิวัติอยู่หน้าประตูแต่ไม่ใช้

ในขณะที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ก็ได้เคลื่อนไหวถึงการแก้ไขมาตรา 112 ว่า คณะก้าวหน้าพร้อมที่จะรณรงค์ในการผลักดันเรื่องการยกเลิก ม.112 ร่วมกับพี่น้องประชาชน โดยเราจะร่วมลงแรงเพื่อพัฒนาแพลตฟอร์ม และการจัดการหลังบ้านในการลงชื่อออนไลน์ของประชาชน #ClubHouseTH

พร้อมกับโพสต์ข้อความว่า อย่าปล่อยให้ประชาชนต้องต่อสู้โดยลำพัง ไปร่วมลงชื่อเพื่อ #ยกเลิก112 กันครับ

ซึ่งต่อมาทางด้าน คณะก้าวหน้าก็ได้เปิดให้ลงชื่อ ยกเลิก ม.112 โดยเปิดเว็บเข้าชื่อยกเลิก 112 ประชาชนต้องช่วยกันหาฉันทามติ-ส่งเสียงถึงผู้ได้รับผลกระทบจากมาตรา 112 ทุกคนว่าพวกเขาไม่ได้สู้เพียงลำพังช่วยกันแสดงพลัง! เข้าชื่อเสนอกฎหมาย ทำให้คนที่ไม่ต้องการยกเลิกกลายเป็นเสียงส่วนน้อย

ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นจำนวนมากและยังมีการตั้งคำถามไปถึงนายปิยบุตร และ ธนาธร ว่า เหตุใดถึงไม่เปิดหน้าออกมานำการเคลื่อนไหว

ภาพ นายสมชาย แสวงการ ซัด “ธนาํธร-ปิยบุตร” ขอบคุณภาพจากเพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH
โดยล่าสุด นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีดังกล่าวว่า กล้าๆ หน่อยนะ อย่ามัวแต่แอบ พร้อมรูปภาพที่มีข้อความว่า ถนัดใช้แต่นอมินียุลูกชาวบ้าน เสนอยกเลิกม.112 ทั้งๆ รู้ไม่ผ่านสภา แน่จริง ปิยบุด ธนาทอน และครอบครัวต้องกล้านำลงชื่อเสนอ เปิดหน้ารบชัดๆ เองดีกว่ามั้ย

แน่นอน, สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจ และไม่ควรหลงประเด็น ก็คือ ข้อเสนอยกเลิก ม.112 คือ การปูทางไปสู่การ “ปฏิรูปสถาบันฯ” อย่างเห็นได้ชัด

เพราะเมื่อไม่มีกฎหมายปกป้อง “พระมหากษัตริย์” แล้ว การเสนอ “ปฏิรูปสถาบันฯ” การพูดถึง “สถาบันฯ” อย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้เกิดกระแสเห็นพ้องกับการ “ปฏิรูป” หรือ แม้แต่ “ปฏิวัติ” ก็จะทำได้สะดวกขึ้น โดยไม่ต้องกลัวว่าจะผิดกฎหมาย? ซึ่งเรื่องนี้มีการพูดถึงอย่างชัดเจนอยู่แล้ว

ดังนั้น การเสนอแก้ไข ม.112 ผ่านรัฐสภา เป็นเพียงการประนีประนอมความต้องการอันสุดโต่งของขบวนการ 3 นิ้ว ของฝ่ายที่ไม่ต้องการให้เรื่องนี้กลายเป็นการปะทะกันอย่างรุนแรง และตอกลิ่มแตกแยกมากขึ้น

อย่างที่ “โบว์” ว่าเอาไว้ การปรับปรุงกฎหมายให้ชัดเจนเกี่ยวกับการบัญญัติเป็นความผิด “หนัก-เบา” แยกละเอียดออกมา และ ตั้งองค์กรพิเศษขึ้นมาทำหน้าที่ฟ้องร้องให้ชัด แทนที่จะเป็นใครก็ได้ ซึ่งเรื่องนี้ดูเหมือน “ปิยบุตร” จะเห็นด้วย แต่มาเอาด้วย กระนั้นสุดท้ายก็อยู่ที่สภา เสียงส่วนใหญ่จะแก้หรือไม่ อย่างไร?

แต่ปรากฏว่า การเคลื่อนไหวของของคณะก้าวหน้า ที่นำโดย “ธนาธร-ปิยบุตร” มีความชัดเจนอย่างยิ่ง ว่า ต้องการยกเลิกเท่านั้น เห็นได้จากการแสดงความเห็นของทั้งสองคน และการล่ารายชื่อของ คณะก้าวหน้า โดย ปิยบุตร ยุให้ปฏิวัติกันเลย เพราะเชื่อว่า “ปฏิวัติ” มาอยู่ที่หน้าประตูแล้ว จะยังไม่เอาอีกหรือ?

เมื่อเป็นเช่นนี้ การแก้ ม.112 ก็ใช่ว่า จะทำให้ยุติการชุมนุมประท้วงลงได้ ใช่ว่า ความต้องการยกเลิก ม.112 จะล้มเลิกไป ตราบที่ยังไม่ ยกเลิก ม.112 ซึ่งเท่ากับ “นิรโทษ” แกนนำกลุ่มราษฎร หรือ ม็อบ 3 นิ้ว รวมถึงคนที่ได้ประโยชน์ตามไปด้วย อย่าง ธนาธร ที่ถูกฟ้อง 112

เหนืออื่นใด เป้าหมายสูงสุดของการต่อสู้ ที่ต้องไม่ลืม ก็คือ “ปฏิรูปสถาบันฯ” ให้ได้ในรุ่นพวกเขา ไม่ใช่แก้ ม.112 ให้ได้ อย่างที่นักการเมืองพยายามเบี่ยงประเด็นหาทางออก ซึ่งไม่มีทางเป็นทางออกได้จริง ไม่เชื่อคอยดู!!!


กำลังโหลดความคิดเห็น