ส.ว.สมชาย ท้าปิยบุตร ธนาธร และครอบครัวต้องกล้าเปิดหน้ารบยกเลิก ม.112 แทนที่จะถนัดใช้แต่นอมินียุลูกชาวบ้าน ด้าน ม.จ.จุลเจิมหวั่นเปิดช่องให้เด็กด่าสถาบันได้อย่างเสรี ขณะที่อดีตรองอธิการบดีหนุนอรรถวิชช์ค้านหมิ่นเป็นคดีแพ่ง เท่ากับทำให้คนไม่เท่ากัน เชื่อคนจาบจ้วงก้าวกระโดด มีคนคอยไปจ่ายเงินทุกครั้ง วอนพลังเงียบตื่นรู้
วันนี้ (6 พ.ย.) จากกรณีที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า เสนอแนวคิดการยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา 112 และเสนอให้คดีหมิ่นประมาททั้งหมด เปลี่ยนจากคดีอาญาเป็นคดีแพ่ง เรียกร้องค่าสินไหมทดแทน อ้างว่าเป็นเทรนด์ของโลก สังคมเป็นประชาธิปไตย มีเสรีภาพในการแสดงออก อดทนอดกลั้นความเห็นที่แตกต่างมากขึ้น ขณะที่คณะก้าวหน้าเปิดช่องทางออนไลน์ลงชื่อเพื่อเสนอกฎหมายยกเลิกมาตรา 112 ต่อรัฐสภานั้น
นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า "ถนัดใช้แต่นอมินียุลูกชาวบ้านเสนอยกเลิก ม.112 ทั้งๆ ที่รู้ไม่ผ่านสภา แน่จริงปิยบุตร ธนาธร และครอบครัวต้องกล้านำลงชื่อเสนอเปิดหน้ารบชัดๆ เองดีกว่าไหม"
ด้าน หม่อมเจ้า จุลเจิม ยุคล โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า "กฎหมายอาญามาตรา 112 และมาตรา 116 ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการเมือง เลย หรือต้องการแก้กฎหมายอาญา มาตรา 112 เพื่อต้องการให้เด็กระยำหยาบช้า สามารถด่าสถาบันได้อย่างเสรี โดยไม่ต้องโดนจับ ไม่ต้องโดนดำเนินคดี ถ้าโดนจับดำเนินคดี ต้องให้ประกันได้โดยไม่มีเงื่อนไข"
ส่วน รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ออกมาโพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็น ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว “Harirak Sutabutr”โดยมีใจความว่า "ได้ฟังคุณอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี กับ อ.ปิยบุตร แสงกนกกุล สนทนากันเรื่องประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ทาง Youtube เมื่อวันศุกร์ที่ 5 พ.ย. ยังงงอยู่กับจุดยืนของ อ.ปิยบุตร ที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เพราะเดิมเคยได้ฟังว่าจุดยืนของ อ.ปิยบุตรคือต้องการให้แก้ไขมาตรา 112 ให้เป็นความผิดทางแพ่งแทนความผิดทางอาญา แต่ระยะหลังๆ เหมือนจะต้องการให้ยกเลิกไปเลยเหมือนกับที่กลุ่มเยาวชน 3 นิ้วต้องการ ซึ่งโพสต์ล่าสุดก็ดูเหมือนจะไม่พอใจที่พรรคก้าวไกลเพียงเสนอให้แก้ไขมาตรา 112 แทนที่จะให้ยกเลิก
การสนทนาครั้งนี้ อ.ปิยบุตรกลับไม่พูดว่าต้องการยกเลิก แต่เสนอให้แก้ไขโดยรื้อทุกมาตราที่เกี่ยวกับการหมิ่นประมาท ซึ่งรวมถึงคนธรรมดาและประมุขประเทศอื่นให้ออกจากความผิดทางอาญา และให้เป็นโทษปรับแทนทั้งหมด โดยให้ข้อมูลว่าเป็นกระแสของโลก และมีหลายสิบประเทศแล้วที่ทำเช่นนี้ แต่อีกเหตุผลที่ชอบอ้างแบบพูดไม่หมดคือ ไม่ควรมีใครต้องติดคุกเพียงเพราะการใช้เสรีภาพในการแสดงออก ทั้งที่ไม่เคยมีใครต้องติดคุกเพราะแสดงออก หากการแสดงออกนั้นไม่ได้ไปละเมิดผู้อื่น
อย่างไรก็ดี ต้องขอบอกว่า เห็นด้วยกับคุณอรรถวิชช์ 100% ว่าหากแก้ไขไม่ให้การหมิ่นประมาท หรือการแสดงการอาฆาตมาดร้ายองค์พระมหากษัตริย์ รวมทั้งมาตรา 326 และมาตรา 328 ซึ่งเป็นกฎหมายหมิ่นประมาทสำหรับประชาชนทั่วไป ไม่ให้เป็นความผิดทางอาญา ก็จะเท่ากับเป็นการทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกัน เพราะคนมีเงินก็จะได้เปรียบ สามารถใช้เงินเสียค่าปรับเพื่อจะทำการหมิ่นประมาทใครก็ได้ ในขณะที่คนจนทำไม่ได้ ยิ่งทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
ที่สำคัญคือ หากยกเลิกมาตรา 112 หรือแก้ให้เป็นความผิดทางแพ่ง ก็เชื่อได้เลยว่า การจาบจ้วง การใช้คำหยาบคาย และการล้อเลียน เยาะเย้ย ถากถางต่อองค์พระมหากษัตริย์ทั้งในอดีตและองค์ปัจจุบันจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด และหากแก้ให้เป็นเพียงความผิดทางแพ่ง การกระทำดังกล่าวก็ยังคงจะเพิ่มขึ้น เพราะไม่มีใครกลัวต้องเสียเงิน ซึ่ง อ.ปิยบุตรก็คงรู้ดีว่าจะมีคนคอยไปจ่ายเงินแทนให้ผู้กระทำผิดทุกคนทุกครั้ง
เชื่อได้อีกว่า การเรียกร้องให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นเพียงเป้าหมายเบื้องต้น เพื่อให้การกระทำใดๆ ที่ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องเสื่อมลง มีความสะดวกยิ่งขึ้น อันจะนำไปสู่เป้าหมายสุดท้ายคือ การไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์อีกต่อไป
คำถามคือ เราจะยอมให้สิ่งที่พวกเขาต้องการเกิดขึ้นในประเทศไทยหรือ
อยากขอเรียกร้องให้พลังเงียบที่ยังเห็นว่า สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นส่วนหนึ่งของความมั่นคงของประเทศ และยังเห็นว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ยังคงต้องดำรงอยู่ต่อไป ช่วยกันแสดงออกในการคัดค้านความพยายามในการยกเลิก หรือแก้ไข ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 กันให้มากที่สุดในช่องทางต่างๆ ที่แต่ละคนเข้าถึงได้ เพื่อให้รู้กันเสียทีว่า พวกเราคือประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ไม่ใช่ส่วนน้อยตามที่เขาชอบอ้าง"