เมืองไทย 360 องศา
พรรคประชาธิปัตย์ส่อเค้าร้อนระอุขึ้นมาอีกครั้ง ระหว่างกลุ่ม “ขั้วอำนาจเก่า” กับกลุ่ม “ขั้วอำนาจใหม่” โดยเฉพาะเริ่มเห็นเค้าลางความขัดแย้งรอบใหม่ที่จะปะทุขึ้นมาระหว่างการวางตัวผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.เพื่อรองรับการเลือกตั้งใหญ่คราวหน้า ซึ่งอาจจะมีขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
แน่นอนว่า พรรคประชาธิปัตย์เคยมีปัญหาความแตกแยกค่อนข้างรุนแรงมาระยะหนึ่งแล้ว โดยเฉพาะในช่วงที่มีการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคคนใหม่สืบแทน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง
ในครั้งนั้นมีหลายกลุ่มที่แยกกันสนับสนุนผู้ลงสมัครชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค แต่ในที่สุด นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ก็ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ และนำพรรคเข้าร่วมรัฐบาล
หลังจากนั้น ภาพความขัดแย้งภายในพรรคประชาธิปัตย์ก็ค่อยๆ เงียบเสียงลง ไม่ค่อยปรากฏให้เห็นนัก แม้ว่าจะรับรู้กันว่าปัญหาดังกล่าวยังคงอยู่ เพียงแต่ว่ารอเวลาปะทุขึ้นมาอีกครั้งเท่านั้นเอง
อย่างไรก็ดี หากทำความเข้าใจก็ต้องรับรู้ว่า “ขั้วเก่า” ย่อมหมายถึงกลุ่มที่เคยสนับสนุน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในยุคที่เป็นหัวหน้าพรรค รวมไปถึงเคยเป็นรัฐมนตรีในยุคนั้น กับ “กลุ่มขั้วใหม่” ซึ่งก็คือกลุ่มที่หนุน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ นั่นเอง และหากโฟกัสให้แคบลงเป็นกรณีไปสำหรับท่าทีและความเคลื่อนไหวที่เพิ่งเกิดขึ้นล่าสุด ระหว่างที่นายจุรินทร์กำลังเดินสายลงพื้นที่ในภาคใต้ตั้งแต่ชายแดนใต้ขึ้นมาถึงจังหวัดพัทลุง และมาสิ้นสุดที่จังหวัดตรัง เมื่อวันก่อน
แน่นอนว่า สำหรับพรรคที่ “การเมืองเข้มข้น” อย่างประชาธิปัตย์โดย เฉพาะในพื้นที่ภาคใต้มันก็ยิ่งได้เห็นความ “ดุเดือด” และที่สำคัญก็คือ ได้เห็นความขัดแย้งที่ต้องปะทุขึ้นมาอีกครั้งระหว่างขั้วการเมืองดังกล่าว โดยกลุ่มเดิมที่เคยสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ยังมีการเคลื่อนไหวอยู่เป็นระยะ ก็คือ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต ส.ส.พัทลุง และอดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ นายอันวาร์ สาและ ส.ส.ปัตตานี
ความขัดแย้งครั้งใหม่ที่สะท้อนออกมาให้เห็นหลังจากการเดินสายภาคใต้ของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ที่ได้กล่าวถึงการวางตัวผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ในคราวหน้า โดยย้ำว่า จะเปิดโอกาสให้ ส.ส.และอดีต ส.ส.ได้ลงสมัครอีกครั้ง แต่ก็ระบุอีกว่า “ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมทางการเมือง” ด้วย
เมื่อพูดแบบนี้มันก็เป็นการส่งสัญญาณชัดเจนแล้วว่า ฝ่ายขั้วตรงข้ามที่มักเคลื่อนไหว หรือมีท่าทีสวนทางย่อมต้องถูกปิดโอกาส ค่อนข้างแน่
และที่ผ่านมา ก็ดูเหมือน นายนิพิฏฐ์ ที่น่าจะมองเห็นอนาคตในพรรคได้เป็นอย่างดี เพราะได้ชิงลาออกจากตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา หลังจากในช่วงการเลือกตั้งคราวที่แล้ว เขาได้รับมอบหมายจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค ให้คุมการเลือกตั้งในภาคใต้ แต่อย่างไรก็ดี หากพิจารณาผลการเลือกตั้งแล้ว ถือว่าไม่ประสบความสำเร็จ เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็พ่ายแพ้ที่จังหวัดพัทลุง ที่เคยเป็น ส.ส.มาหลายสมัย
และล่าสุด หลังจากคำพูดของ นายจุรินทร์ ที่ระบุถึงพฤติกรรมทางการเมืองมาประกอบการพิจารณาส่งลงสมัครเลือกตั้ง นั่นย่อมหมายถึงปิดทางขั้วของ นายนิพิฏฐ์ อย่างชัดเจน แม้ว่าตัวเขาได้ประกาศไม่ลงสมัคร ส.ส.แล้วก็ตาม แต่ล่าสุด ก็มีการวางตัวลูกชายของนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพัทลุง ลงสมัครในพื้นที่เขต 2 แทน ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุนี้หรือเปล่า ที่ทำให้เขาได้โพสต์ในเฟซบุ๊ก สะท้อนว่า “ผมอยู่ในพรรคประชาธิปัตย์มา 27 ปี เป็น ส.ส.8 สมัย เป็นรองหัวหน้าพรรคภาคใต้ 3 สมัย ยาวนานที่สุดในประวัติของพรรค เป็นรัฐมนตรี 1 ครั้ง ถูกฟ้องเพราะออกมาปกป้องพรรค 12 คดี ผมไม่อาจพูดได้ว่ารักพรรคมากกว่าใคร แต่พูดได้ว่าผมรักพรรคไม่น้อยกว่าใคร จะทำอะไรก็ให้เกียรติกันหน่อย หรือวันนี้ไม่รู้จักคำว่า “ให้เกียรติ" กันแล้ว ถ้าอย่างนั้น อยากจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ
ต่อมา นายนิพิฏฐ์ ยังได้โพสต์ย้ำอีกครั้งว่า “เราเสีย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ.. เสีย กรณ์ จาติกวณิช ไปแล้ว.. มันคุ้มหรือครับกับการที่จะเสียต่อไปอีก..ถ้าคุ้มก็ทำไป”
ก่อนหน้านี้ นายนิพิฏฐ์ ยังได้โพสต์ข้อความด้วยว่า “การกลิ้งกลอก ตลบตะแลง หักหลังคนอื่น มันไม่เป็นมงคลต่อชีวิต อย่าทำเลยครับน้องทั้งสอง”
ทั้งนี้ ได้มีผู้ติดตามแสดงความเห็นหลากหลาย โดยส่วนใหญ่แสดงความเสียดายต่อสถานการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ในเวลานี้ และเป็นห่วงต่ออนาคตของพรรค ซึ่งนายนิพิฏฐ์ได้ตอบกลับความเห็นบางส่วนว่า “เราอยู่จนเขาไม่เอาเรา ไม่ใช่เราไม่เอาเขา ชาวบ้านจะโทษเราไม่ได้”
ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นภายในพรรคประชาธิปัตย์ ย่อมสะท้อนภาพชัดเจนว่าความขัดแย้งยังคงอยู่ และยังต่อเนื่องจากมาจากสาเหตุเดิมๆ และยังเชื่อว่า จะต้องรุนแรงเข้มข้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงที่กำลังเริ่มมีการวางตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งครั้งใหม่ ซึ่งเชื่อว่าต้องมีรายการ “เช็กบิลเอาคืน” แน่นอน !!


