“รสนา” ซัดรัฐบาล “ประยุทธ์” หารายได้แบบง่ายๆ จากภาษีสรรพสามิตน้ำมันจนเคยตัว ไม่ยอมทำตามข้อเรียกร้องลดราคาน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 5 บาท กลับใช้วิธีเอาเงินกองทุนน้ำมันมาตรึงราคา ผลักภาระให้ประชาชนและผู้ประอบการที่กำลังลำบากสาหัส เตือนถ้าประชาชนหันหลังกลับ ไม่ยอมเดินตาม รัฐบาลจะถูกทิ้งไว้ข้างหลังเสียเอง
วันที่ 19 ต.ค.ที่ผ่านมา น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา และผู้เสนสอตัวลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก รสนา โตสิตระกูล ว่า ระวัง! ประชาชนจะทิ้งรัฐบาลไว้ข้างหลัง หากไม่ลดราคาน้ำมัน วันนี้สหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทยออกมาแสดงพลังในนาม Truck Power ให้รัฐบาลได้รับทราบถึงความเดือดร้อนของผู้ประกอบการรถบรรทุกจากทั่วประเทศ โดยนำรถบรรทุกจำนวนกว่า 200 คันติดป้ายเรียกร้องรัฐบาลแก้ไขราคาน้ำมันแพงเคลื่อนไหวเชิงสัญญลักษณ์โดยเดินทางจากทั่วประเทศจาก 6 เส้นทางเข้าล้อมกรุงเทพฯ เรียกร้องให้รัฐบาลลดภาษีสรรพสามิต 5 บาทและตรึงราคาดีเซลที่ 25 บาทเป็นเวลา 1 ปี
ธุรกิจขนส่งรถบรรทุกเป็นหนึ่งในเส้นเลือดใหญ่ของระบบเศรษฐกิจไทยที่ได้กลั้นหายใจมานานจนทนไม่ไหวต้องออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาน้ำมันแพงหลังจากประชาชนกลั้นหายใจจนทนไม่ไหวออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลลดภาษีสรรพสามิต 5 บาทมาก่อนแล้ว แต่รัฐบาลไม่สนใจ และ รมว.คลังกล่าวชัดเจนว่าจะไม่ยอมลดภาษีสรรพสามิตแต่จะยืนหยัดล้วงกระเป๋าประชาชนผ่านกองทุนน้ำมันมาชดเชยราคาน้ำมันต่อไป ใช่หรือไม่
เมื่อคาราวานรถบรรทุกประกาศเคลื่อนไหวในวันที่ 19 ตุลาคม 2564 และได้เข้าพบรมว.พลังงานหารือเรื่องลดราคาน้ำมันเมื่อวันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา วันเดียวกันปรากฏข่าวที่สื่อมวลชนรายงานว่าผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง รีบออกมายืนยันไม่ลดภาษีสรรพสามิตอ้างว่าภาษีสรรพสามิต ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาระดับราคาพลังงาน แต่มีวัตถุประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก และอ้างว่าราคาดีเซลในขณะนี้อยู่ในระดับราคาใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้านอยู่แล้ว
นั่นคือข้ออ้างและเป็นอาการของรัฐบาลที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับความเดือดร้อนของประชาชนและของผู้ประกอบการ ที่ต้องแบกรับภาระค่าครองชีพสูงมากขึ้นในขณะที่มีรายได้น้อยลงจากการล็อกดาวน์เพราะวิกฤตโควิด และมาถูกซ้ำเติมด้วยวิกฤติน้ำท่วมในช่วงนี้
ขอถามว่า จริงหรือ? ที่ภาษีสรรพสามิตมีไว้เพื่อวัตถุประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อม เพราะเท่าที่ปรากฏมา ยังไม่เคยมีการลดภาษีสรรพสามิตเพื่อทำให้ราคาน้ำมันผสม(ที่รักษาสิ่งแวดล้อม) มีราคาถูกลงตามนโยบายรัฐบาล มีแต่ล้วงกระเป๋าตังค์ประชาชนผ่านกองทุนน้ำมันมาชดเชยเท่านั้น!!
ข้อมูลโครงสร้างราคาน้ำมันวันที่ 18 ตุลาคม 2564
1)ดีเซลบี7 บี10 ที่รัฐบาลรีดภาษีสรรพสามิต 5.99 บาท/ลิตร และล้วงเงินกองทุนน้ำมันมาชดเชย 1.99 บาท ก็ชดเชยให้ถูกลงได้แค่ภาษีที่รัฐบาลไม่ยอมลด ใช่หรือไม่
2)ดีเซลบี20 รัฐบาลรีดภาษีสรรพสามิต 5.15บาท/ลิตร รัฐบาลล้วงกองทุนฯ มาชดเชย 4.15 บาท ก็ชดเชยได้แค่ภาษีสรรพสามิตที่รัฐบาลไม่ยอมลด ใช่หรือไม่
แค่รัฐบาลลดภาษีลงลิตรละ 5 บาท ราคาน้ำมันดีเซลก็ลดลงได้ทันที แต่เพราะรัฐบาลไม่มีปัญญาหาเงินทางอื่นแล้วใช่ไหม จึงต้องเล่นกลเอากองทุนน้ำมันที่เป็นเงินของคนใช้เบนซินมาอุ้มภาษีน้ำมันของรัฐบาล ใช่หรือไม่
แสดงว่ารัฐบาลนี้เคยชินกับการได้เงินง่ายๆ จนหารายได้จากแหล่งอื่นๆ ไม่เป็น ต้องใช้วิธีรีดเงินจากประชาชนแบบมัดมือชกทั้งที่ประชาชนลำบากแสนสาหัส ใช่หรือไม่
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามาบริหารบ้านเมืองตั้งแต่ปี 2557 ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาน้ำมันตลาดโลกลดต่ำลง แทนที่รัฐบาลจะลดราคาน้ำมัน รัฐบาลก็เก็บภาษีน้ำมันมากขึ้นทำให้รัฐบาลนี้ได้รายได้ง่ายๆ จำนวนมากจากภาษีสรรพสามิตน้ำมันมานาน เมื่อเทียบกับทุกรัฐบาลที่ผ่านมา รายได้จากภาษีสรรพสามิตที่รัฐบาลนี้เก็บได้ปีละกว่าสองแสนล้านบาท และเก็บได้สูงสุด เมื่อปี 2562 จำนวนถึง 232,763 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลชุดนี้เคยตัวกับการรีดภาษีเป็นรายได้ง่ายๆ จากผู้ใช้น้ำมัน จนหารายได้แบบอื่นไม่เป็น ใช่หรือไม่
มาวันนี้ประชาชนเดือดร้อนแสนสาหัส แต่รัฐบาลก็ไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย จนผู้ประกอบการรถบรรทุกออกมาเรียกร้อง ก็ยังไม่รู้ร้อนรู้หนาวอีก ขออย่าให้การบรรทุกภาษีน้ำมันบนหลังประชาชนแบบนี้ กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายบนหลังอูฐ
อีกไม่นาน วาทะ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”ของรัฐบาล จะกลายเป็นวาทะที่ว่างเปล่า เพราะจะไม่มีใครเดินตามหลังท่านอีกต่อไป ระวัง!เ มื่อประชาชนหันหลังกลับ รัฐบาลจะเป็นผู้ถูกทิ้งไว้ข้างหลังเสียเอง !