ผู้อำนวยการ สศค. ชี้แจงประเด็นข้อเรียกร้องแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง ยันรัฐบาลใช้นโยบายผ่านกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยอุดหนุนราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล และปรับลดค่าการตลาด ย้ำราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลของไทยสอดคล้องกับประเทศในภูมิภาค
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวนการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า ปัญหาราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลปรับตัวสูงขึ้นในปัจจุบัน เป็นผลมาจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบันอยู่ที่ 83.53 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจาก COVID-19 ประกอบกับความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวซึ่งทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ด้วยข้อเท็จจริงดังกล่าวส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในประเทศวันที่ 18 ตุลาคม 2564 อยู่ที่ประมาณ 28 บาทต่อลิตร ซึ่งปรับตัวสูงขึ้นประมาณร้อยละ 16 เมื่อเทียบกับช่วงต้นปี (มกราคม 2564) อย่างไรก็ดี เมื่อเปรียบเทียบราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลของไทยกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกันแล้วพบว่า ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลของไทยอยู่ระดับใกล้เคียงกับประเทศอื่นๆ (สิงคโปร์ ลิตรละ 53 บาท สปป.ลาว ลิตรละ 31.50 บาท กัมพูชา ลิตรละ 30.24 บาท ฟิลิปปินส์ ลิตรละ 28.69 บาท พม่า ลิตรละ 26.95 บาท และมาเลเซีย (ผู้ส่งออกน้ำมัน) ลิตรละ 17.42 บาท)
เพื่อแก้ไขปัญหาข้างต้น รัฐบาลจึงได้ดำเนินนโยบายเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล ผ่านกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นกลไกหลักในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงและมีสภาพคล่องพร้อมดำเนินการ โดยได้มีการอุดหนุนราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลที่ 1.99-4.16 บาทต่อลิตร รวมทั้งได้มีการบริหารจัดการให้มีการปรับลดค่าการตลาดลงด้วย กล่าวคือ การใช้กลไกดังกล่าวมีความพร้อมและเพียงพอต่อการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลภายใต้บริบทปัจจุบันได้
ในส่วนประเด็นการปรับลดภาษีสรรพสามิตเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวนั้นอาจยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่จะใช้กลไกดังกล่าวในขณะนี้ เนื่องจากการจัดเก็บของภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาระดับราคาพลังงาน แต่มีวัตถุประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก อย่างไรก็ดี ในอดีตมีการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลเพื่อบรรเทาภาระของประชาชน เนื่องจากในขณะนั้นราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกอยู่ในระดับที่สูง ดังนั้น หากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีการปรับตัวสูงขึ้น รัฐบาลอาจพิจารณามาตรการภาษีสรรพสามิตเพื่อบรรเทาภาระของประชาชนต่อไป
ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)