xs
xsm
sm
md
lg

“ปลัดฯเก่ง”เรียกเสียงฮือฮา ตั้ง “เจ้าคุณโซลาร์เซลล์”กับ “เจ้าคุณโคก หนอง นา” เป็นที่ปรึกษา **คำถามถึง “พิธา” ประกาศตัวเป็นนายกฯ เปลี่ยนแปลงประเทศ แล้วนโยบายลดความรุนแรงในครอบครัวล่ะ ว่าไง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว

** “ปลัดฯเก่ง” เรียกเสียงฮือฮา ตั้ง “เจ้าคุณโซลาร์เซลล์”กับ “เจ้าคุณโคก หนอง นา” เป็นที่ปรึกษา

หลังจากอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน “สุทธิพงษ์ จุลเจริญ” หรือ “อธิบดีโคก หนอง นา” หรือ “มหาเก่ง” ไวยาวัจกร วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เข้ามารับตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้ไม่ถึงเดือน ก็สร้างความฮือฮา ด้วยการตั้ง “พระนักพัฒนา” จาก จ.อุบลราชธานี เป็นที่ปรึกษาถึง 2 รูป

“พระปัญญาวชิรโมลี” เจ้าอาวาสวัดป่าศรีแสงธรรม ต.ห้วยยาง อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี และ “พระพิพัฒน์วชิโรภาส” ผอ.ศูนย์พุทธธรรมสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ป่าดงใหญ่วังอ้อ ต.หัวดอน อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี

ใครที่รู้จัก หรือได้ติดตามผลงงานด้านการพัฒนาของ “เจ้าคุณ” ทั้งสองรูปนี้แล้ว ก็คงไม่แปลกใจว่าทำไม “ปลัดเก่ง” ถึงต้องตั้งเป็นที่ปรึกษา เพราะหนึ่งนั้นเป็น “เจ้าคุณโคก หนอง นา” อีกหนึ่งเป็น “เจ้าคุณโซล่าร์เซลล์”

“พระปัญญาวชิรโมลี” เจ้าอาวาสวัดป่าศรีแสงธรรม พรรษา 25 อายุ 48 ปี เป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนศรีแสงธรรม หรือ “โรงเรียนเสียดายแดด” ท่านได้นำความรู้ที่ได้จากการศึกษาโซลาร์เซลล์ มาต่อยอดเป็นพลังงานทดแทนไว้ใช้ในโรงเรียน และสร้างระบบ Smart Farm, รถเข็นนอนนา (สถานีไฟฟ้าเคลื่อนที่), บ้านกินแดด, รถไฟฟ้า Ev Car จากแผงโซลาร์เซลล์ จนทำให้บรรดาลูกศิษย์ลูกหา ตั้งฉายาให้ท่านว่า“พระเสียดายแดด” และ “เจ้าคุณโซลาร์เซลล์

สุทธิพงษ์ จุลเจริญ
นอกจากเรื่องพลังงานแล้ว ท่านยังนำความรู้ทางการเกษตร มาพัฒนาพื้นที่ของวัด ทำเป็นแปลงนาสาธิตให้นักเรียนรู้จักวิชาดำนา และเกี่ยวข้าวเอง จนได้ผลผลิตมาเป็นอาหารกลางวัน ...ปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนพื้นที่ให้เป็น “แปลงสาธิตโคก หนอง นา” และได้รับพระบรมราชานุญาต ให้ใช้ชื่อโครงการว่า ‘’โครงการพระราชทานโคกหนองนา แห่งน้ำใจและความหวัง” วัดป่าศรีแสงธรรม และ พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ มาสนับสนุนสร้างศาลาปฏิบัติธรรม ชื่อ ศาลาปฏิบัติธรรมโคก หนอง นา ณ วัดป่าศรีแสงธรรม เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาและเป็นการสืบทอดบวรพุทธศาสนาด้วย

แน่นอนว่าการตั้ง “พระปัญญาวชิรโมลี”เป็นที่ปรึกษาครั้งนี้ นอกจากจะเรียกเสียงฮือฮาแล้วเชี่อว่าต้องถูกใจ “เจ้าแม่โซลาร์ฟาร์มหมื่นล้าน” อย่าง “วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ” ซีอีโอ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) ที่เป็นหลังบ้าน “ปลัดเก่ง” อย่างแน่นอน

ส่วน“พระพิพัฒน์วชิโรภาส” นอกจากจะได้ชื่อว่าพระนักพัฒนา ที่ขับเคลื่อนชุมชนตามหลัก “บวร” หรือ บ้าน วัด ราชการ แล้วยังให้ความสำคัญกับพัฒนาคุณภาพชีวิต ตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นา พช.” ของกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย “สร้างปอดให้เมืองอุบลฯ” จัดกิจกรรมมปลูกต้นไม้ ผักสวนครัว และพืชสมุนไพร ต้านภัยโควิด และสร้างธนาคารต้นไม้ เพาะต้นยางนา 10,000 ต้น แจกจ่ายไปปลูก

พระพิพัฒน์วชิโรภาส - พระปัญญาวชิรโมลี
“เจ้าคุณพิพัฒน์วชิโรภาส” บอกว่า ประโยชน์ของโคก หนอง นา ในด้านกายภาพนั้นจะให้ระบบนิเวศดีขึ้น มีแหล่งเก็บน้ำฝนมากขึ้น สัตว์ตามธรรมชาติก็จะเกิดขึ้นอีกมากมาย ชาวบ้านก็จะได้รับประโยชน์ มีความมั่นคงของชีวิต มีความมั่นคงทางอาหาร พอกิน พอใช้ พออยู่ พอร่มเย็น คนที่ทำโคกหนองนา เป็นผู้มีบุญ มีทาน มีการเก็บ แปรรูปถนอมอาหาร มีการขายเพิ่มรายได้ มีเครือข่ายเรื่องการตลาด มีเครือข่ายคุณธรรม ความสามัคคีก็เกิดขึ้น ...
หากนำ “โคก หนอง นา บวร โมเดล” ไปเป็นหลัก เป็นหัวใจในการพัฒนาท้องถิ่นทั่วไทย ไม่เพียงจะให้เกิดระบบนิเวศที่ดี แต่ยังทำให้ชาวบ้านเกิดในเรื่องคุณธรรม จริยธรรม มีความดีงามเกิดขึ้นในครอบครัว และชุมชนด้วย
มีที่ปรึกษาทั้งดี ทั้งเก่งอย่างนี้ ก็หวังว่า ข้าราชการมหาดไทยในยุค “ปลัดเก่ง” จะได้นำทั้งโซลาร์เซลล์ และโคก หนอง นา ไปเผยแพร่ พัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน ที่เจอพิษโควิดจนอ่วมไปตามๆ กันให้พลิกฟื้นคืนกลับมามีความสุขได้อีกครั้ง



**คำถามถึง “พิธา” ประกาศตัวเป็นนายกฯ เปลี่ยนแปลงประเทศ แล้วนโยบายลดความรุนแรงในครอบครัวล่ะ ว่าไง

เป็นที่น่าจับตา เมื่อนักการเมืองหนุ่มไฟแรง อย่าง “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล ประกาศพร้อมเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ในการเลือกตั้งครั้งหน้า โดยมีการแสดงวิสัยทัศน์ ต่อที่ประชุมใหญ่ของพรรคก้าวไกล ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
ในวันนั้น “พิธา” ประกาศพร้อมเดินทางไกล ร่วมกับทุกคนที่ถูกกดขี่จากความอยุติธรรมในประเทศนี้ จะร่วมกันเดินไม่หยุด เพื่อเปลี่ยนประเทศไทยให้ได้ โดยจะต้องสู้กับ“ช้าง” คือ รัฐราชการรวมศูนย์ ตัวอ้วนอุ้ยอ้าย และ “เสือ” คือนายทุนผูกขาด และนักการเมืองท้องถิ่นที่ทำตัวเป็นเสือนอนกิน ซึ่ง “เสี่ยพิธา” บอกว่าจะใช้ทัศนคติแบบ “ราชสีห์” ที่ไม่ใหญ่เท่ากับช้าง ไม่เร็วเท่ากับเสือ ไม่ฉลาดเท่าลิง แต่มีความสุภาพและเข้มแข็ง ในการต่อสู้กับเสือและช้าง ที่ทำให้ประเทศไทยถูกสาปห้ามพัฒนา

“พิธา”ยังประกาศอีกว่า เราจะต้องมี “ยูนิคอร์น” หรือ ธุรกิจเกิดใหม่ที่มีมูลค่าบริษัท 3 หมื่นล้านบาทขึ้นไป เหมือนประเทศอื่นมี โดยการนำเทคโนโลยีมาใส่ พร้อมอ้างว่าพรรคก้าวไกล ต่างจากพรรคอื่น เพราะรู้ว่าจะสร้างยูนิคอร์น อย่างไร

บรรดาแฟนคลับของพรรคก้าวไกล ได้ฟังแล้วก็เคลิ้มไปกับวิสัยทัศน์การพัฒนาประเทศอันก้าวหน้าและกว้างไกลของ “หัวหน้าพิธา”
แต่เมื่อวานนี้ (19 ต.ค.) อารมณ์ก็มาสะดุด เมื่อ “ประวิตร โรจนพฤกษ์” นักข่าวอาวุโสข่าวสดภาษาอังกฤษ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ตั้งคำถามไปถึงหัวหน้าพรรคก้าวไกลว่า ...“ในเมื่อพิธาประกาศพร้อมจะเป็นผู้ชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว ผมก็ขอประกาศว่า อยากเห็นคุณพิธาพูดให้ชัดว่า ตนเองและพรรคก้าวไกล จะมีนโยบายเรื่องการลดความรุนแรงในครอบครัว และป้องกันการทำร้ายร่างกายภรรยา (หรือสามี) อย่างไรบ้าง – เรื่องนี้สำคัญ เป็นเรื่องหลักการ และหวังว่า พิธาจะไม่เลี่ยง”

ประวิตร โรจนพฤกษ์
โพสต์ข้อความอย่างเดียวไม่พอ “ประวิตร” ยังโพสต์ภาพข่าวเก่า กรณี “ต่าย” ชุติมา ทีปะนาถ อดีตดาราสาวชื่อดัง ฟ้องพิธา ในฐานะอดีตสามี ในคดีความรุนแรงในครอบครัวอีกด้วย

แน่นอน ที่ “ประวิตร”เรียกร้องให้ “พิธา”ตอบเรื่องนโยบายการลดความรุนแรงในครอบครัวต้องก็ต้องโยงกับเรื่องชีวิตส่วนตัวของพิธาดังกล่าว ซึ่งหากย้อนไปเมื่อปี 2562 พิธา และอดีตภรรยา มีคดีฟ้องร้องกันไปมา เริ่มจากพิธาฟ้องต่าย เพื่อสิทธิเลี้ยงดูลูกหลังการหย่า ขณะที่ต่ายได้ยื่นฟ้องพิธา ในข้อหาก่อความรุนแรงในครอบครัว กรณีทำร้ายร่างกาย

แต่ในการไต่สวนมูลฟ้อง เมื่อวันที่ 22 พ.ค.62 ศาลไม่รับคำฟ้องคดีคุ้มครองสวัสดิภาพความรุนแรงในครอบครัว หลังมีคำสั่งศาล “ต่าย ชุติมา” ได้เปิดเผยว่า คดีนี้เป็นคดีเกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัว หมายถึงเรื่องของการทำร้ายร่างกายที่ต่ายยื่นฟ้องไปเพื่อคุ้มครองสิทธิ์ในตัวเรา หลังจากได้ไปปรึกษาทางกระทรวง พม. กับมูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาค ตอนแรกเราก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เราเจอมามันถูกต้องตามทำนองคลองธรรมหรือเปล่า หรือว่ามันเป็นสิ่งที่ภรรยาคนหนึ่งต้องรับมันให้ได้ แต่พอทางผู้ใหญ่แนะนำว่าควรจะดำเนินคดีเพราะฟังดูน่าเป็นห่วงก็เลยตัดสินใจฟ้อง วันนี้ พอไต่สวนแล้ว มีการทำร้ายร่างกายจริงแต่ไม่ถึงกับเป็นความรุนแรงในครอบครัว แต่ว่ามันก็กระทบจิตใจของเรา คือถึงมันไม่รุนแรงแต่มันก็มีความกังวลในการอยู่ร่วมกัน

คดีนี้ถึงศาลจะไม่รับฟ้อง แต่คำพูดจากปากของ “ต่าย ชุติมา” ก็ยืนยันว่ามีการทำร้ายร่างกายจริง และในอีกหลายครอบครัวไทย ปัญหาแบบนี้หนักกว่าที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเธอมากหมายหลายเท่า และเป็นปัญหาที่ “พิธา” ผู้ประกาศตนเป็นนักต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศ ต้องมีนโยบายออกมาแก้ไขด้วยเช่นกัน




กำลังโหลดความคิดเห็น