พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โพสต์เฟซบุ๊ก ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-O-Cha ระบุว่า
พี่น้องประชาชนครับ ตราบใดที่โลกไม่หยุดหมุน เราคนไทยก็จะต้องไม่หยุดการพัฒนา ไม่ว่าจะเกิดปัญหา หรืออุปสรรคนานัปการเพียงใดก็ตาม วันนี้รัฐบาลขอเชิญชวนประชาชนชาวไทยก้าวข้ามวิกฤติโควิด มองไปข้างหน้า และเตรียมเปิดประเทศแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยมี 2 ปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ คือ ความพร้อมเรื่องการจัดหาและการฉีดวัคซีนซึ่งมีแนวโน้มที่ดีมากๆ ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่ ศบค.กำหนด รวมทั้งเรื่องเวชภัณฑ์และระบบสาธารณสุขที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นว่าจะสามารถรองรับอัตราการติดเชื้อรายใหม่และลดอัตราการสูญเสียในอนาคตได้ และอีกปัจจัยที่สำคัญ คือ ความมีวินัยและความร่วมแรงร่วมใจกันของคนไทยทั้งประเทศ ในการเอาชนะโรคระบาด เพื่อมุ่งสู่การกลับมาใช้ชีวิตและการทำมาหากินตามปกติสุข แบบ New Normal ให้ได้ในเร็ววันครับ
ในขณะเดียวกัน เรื่องอุทกภัยในหลายจังหวัด ก็ยังคงรบกวนการพัฒนาประเทศในหลายๆ ด้าน ซึ่งช่วงนี้ ผมและคณะรัฐมนตรีได้แยกกันเดินทางลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้ประสบภัย และติดตามการแก้ปัญหาของข้าราชการร่วมกับทุกภาคส่วนในแต่ละพื้นที่ โดยในวันนี้ การเดินทางลงพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี นอกจากเพื่อเยี่ยมผู้ประสบภัยและมอบถุงยังชีพแล้ว ผมยังได้ติดตามผลสัมฤทธิ์จากการดำเนินงานตามโครงการพัฒนาก้าวสำคัญของประเทศ คือ โครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดเขื่อนสิรินธร ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อ 30 เมษายน 2562 เห็นชอบให้ดำเนินการภายใต้แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561 – 2580 (PDP 2018) ที่นับว่าเป็นโครงการผลิตพลังงานทางเลือก เป็นพลังงานสะอาด และเป็นโซลาร์เซลล์ลอยน้ำแบบไฮบริดขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของคนไทย ทั้งนี้ เมื่อเทียบต้นทุนและการซ่อมบำรุง กับกระแสไฟฟ้าที่ได้แล้ว ถือว่าถูกและคุ้มค่ามาก เทียบกับการผลิตไฟฟ้าจากการนำเข้าน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือถ่านหิน ยิ่งกว่านั้นเป็นการตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก และช่วยลดภาวะโลกร้อนอีกด้วย โดย กฟผ.ร่วมกับจังหวัดอุบลราชธานี ได้ต่อยอดด้วยการพัฒนาโครงการนี้ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว และแหล่งเรียนรู้ด้านพลังงานหมุนเวียนที่สำคัญของจังหวัด โดยก่อสร้างเส้นทางเดินชมธรรมชาติ (Nature Walkway) เพื่อให้ประชาชนได้เดินชมความสวยงามของทิวทัศน์ได้อย่างใกล้ชิด ซึ่งคาดว่าจะช่วยเสริมให้ธุรกิจท่องเที่ยวของจังหวัดกลับมาคึกคัก ช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนอีกทางหนึ่งด้วย
การลงพื้นที่ครั้งนี้ ผมได้เยี่ยมชมโมเดลการสร้างความเข้มแข็ง-พึ่งพาตนเองได้ ด้านพลังงานและการเกษตรในระดับฐานราก ณ โรงเรียนและวัดป่าศรีแสงธรรม ซึ่งได้น้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และพระปฐมบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ในการสืบสาน รักษา ต่อยอด “ศาสตร์พระราชา” และโครงการตามพระราชดำริต่างๆ มาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับภูมิสังคมของตนเอง เช่น โครงการแหล่งเรียนรู้พลังงานทดแทน “โคกอีโด่ยวัลเล่ย์” ที่ไม่เพียงให้ความรู้เกี่ยวกับการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ (หรือ “ไฟจากฟ้า”) แก่นักเรียนและชาวชุมชน เพื่อใช้ในบ้านและเป็นอาชีพเสริมแล้ว ยังสามารถพัฒนาต่อยอดเป็นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ชุมชนเกษตรกรรม ด้วยระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ควบคุมระบบเปิด-ปิดการรดน้ำต้นไม้ ด้วยระบบ IOT (หรือ “สมาร์ทฟาร์ม”) ในพื้นที่โคก หนอง นา โมเดลอีกด้วย ยิ่งกว่านั้นยังมีการจัดตั้งรูปแบบการบริหารจัดการตามแนวทาง “วิสาหกิจชุมชน” ที่เป็นการหารายได้ แล้วนำกำไรกลับมาพัฒนา-สร้างความเจริญให้กับชุมชนของตนด้วยครับ
นับว่าเป็นอีกต้นแบบการพัฒนาที่ยั่งยืน ด้วยความร่วมมือของคนในพื้นที่ ที่สะท้อนความเชื่อมโยงระหว่างบ้าน-วัด-โรงเรียน (หรือ “บวร”) ที่จะเป็นการสร้างพลังจากท้องถิ่นที่สำคัญของบ้านเมืองของเรา ทั้งนี้ ในการพลิกโฉมประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติในระยะต่อไปนั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความเชื่อมโยงกัน ตั้งแต่ระดับชุมชนไปจนถึงระดับชาติ และการขับเคลื่อนในแต่ละระดับก็จะต้องอาศัยพลังบวก จากทุกพลังทางสังคม และพลังจากความสามัคคีของทุกภาคส่วน มาทำงานร่วมกันครับ โดยผมขอฝากทิ้งท้ายไว้ เพื่อแบ่งปันมุมมองและประสบการณ์ที่ประทับใจที่ได้จากการลงพื้นที่ในวันนี้ ไปสู่พี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคนนะครับ