“อัษฏางค์” ปลื้มคำพูด “รัสเซล” พระเอกฮอลลีวูดเชียร์ท่องเที่ยวไทยต่อชาวโลก เหน็บ “สามกีบ” ตีตราเป็น “สลิ่ม” “อดีตบิ๊กการข่าว” ชู “สถาบันกษัตริย์” คือหลักชัย ผู้นำเปลี่ยนแปลง “ไพศาล” ท้าทาย “คน กทม.” เลือกผู้ว่าฯ ก้าวไกล
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (16 ต.ค. 64) นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค ระบุว่า
“รัสเซล โครว์ พระเอกฮอลลีวูดชาวออสซี่
ตกหลุมรักเมืองไทยเข้าให้อย่างจัง
สามกีบอาจไม่พอใจเรื่องนี้
และตีตราว่า รัสเซล โครว์ เป็นสลิ่ม
ขณะนี้ รัสเซล โครว์ กำลังถ่ายทำภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ของฮอลลีวูดอยู่ในเมืองไทย ซึ่งเรื่องนี้แม้แต่ท่านทูตนริศโรจน์ ซึ่งเป็นประธาน film board ที่ดูแลภาพยนตร์ที่ขออนุญาตมาถ่ายทำในเมืองไทย ก็ไม่กล้าเอามาเล่า ถ้าตัวดาราระดับโลกไม่พูดขึ้นมาเอง เพราะมีสัญญาที่ห้ามเปิดเผยเกี่ยวกับภาพยนตร์และดาราที่เข้ามาถ่ายทำในเมืองไทย
แต่เข้าใจว่า ตัว รัสเซล โครว์ เองคงรู้สึกประทับใจกับเมืองไทยและคนไทยแบบสุดๆ จนไม่สามารถจะปิดปากเอาไว้ได้
เขาโพสต์ข้อความเอาไว้ว่า…
Let me tell you about Thailand
ผมจะบอกอะไรให้นะ
A favourite destination for many, but not a place I had ever been….
มีสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของคนมากมาย
แต่ที่นี่เมืองไทยเป็นสถานที่ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากที่ผมเคยไปมาแล้ว
Go and Look at Phuket. I’m sure the rest of country has amazing experience to share too.
Go and Look at Phuket. มาดูภูเก็ตกัน
(ฝรั่งพูดภาษาอังกฤษแค่สั้นๆ ด้วยคำว่า Go and Look at Phuket แต่มันเป็นการสื่อสารที่เข้าใจโดยทั่วกัน โดยไม่ต้องขยายความใดๆ อีกเลย ประมาณว่า เหนือคำบรรยาย คือไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาบรรยายภูเก็ตได้เลย)
I’m sure the rest of country has amazing experience to share too.
ผมมั่นใจว่า ที่อื่นๆ ในประเทศไทยก็สุดยอดเหนือคำบรรยายเหมือนที่ภูเก็ต
เห็นอาการตกหลุมรักเมืองไทยเข้าให้อย่างจังของดาราระดับโลกมั้ยล่ะ
แถมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจะได้ดาราซูเปอร์สตาร์ชั้นแนวหน้าของโลกช่วยโปรโมตการท่องเที่ยวไทยให้โดยไม่ตอนจ่ายสักบาท
รัสเซล โครว์ นอกจากชักชวนชาวโลกมาเที่ยวไทยแล้ว ยังให้ข้อมูลเบื้องต้นด้วย
I think Sandbox Quarantine for vaccinated travelers applies to Phuket. If you are fully vaccinated you can fly to Phuket and move about island freely.
ถ้าคุณฉีดวัคซีนครบโดสแล้วสามารถบินมาภูเก็ตและท่องเที่ยวทั่วเกาะได้อย่างเสรี
The weather in Sept was wet but soon warm.
ตอนนี้กันยาเป็นหน้าฝน แต่กำลังจะเข้าสู่หน้าร้อนเร็วๆ นี้ (หน้าหนาวของคนไทย แต่ฝรั่งเรียกว่ามันแค่ warm อุ่นๆ บ่งบอกถึง summer ซึ่งเป็นฤดูท่องเที่ยว)
We had an obligation to the production I’m onto limit our movements but still managed to see the big Buddha and waterfall.
พวกเรามาถ่ายหนังจึงมีข้อจำกัด แต่ผมวางแผนไว้แล้วว่าจะไปชมพระพุทธรูปและน้ำตก
Thai people are so friendly, so welcoming and of course the food is just amazing.
คนไทยโอบอ้อมอารี เป็นมิตร และแน่นอนที่สุดอาหารไทยนั้นสุดจะบรรยาย
ที่สำคัญ ดาราระดับโลกไม่ลืมปิดท้ายเชิญชวนชาวโลกมาเที่ยวเมืองไทย
If you’ve been locked down, if you’re feeding that wanderlust stirring in you now that we have a date for open boarders.
ถ้าคุณเป็นคนชอบท่องเที่ยวแต่ต้องติดอยู่อยู่ในช่วงล็อกดาวน์ เรามีกำหนดเปิดประเทศให้คุณ (เร็วๆ นี้)
(รัสเซล โครว์ ใช้คำว่า ”เรา” ซึ่งคือการทำตัวเป็นคนไทยหรือการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พูดกับนักท่องเที่ยวทั่วโลกแทนคนไทย เป็นไงละ)
คิดดูว่า การท่องเที่ยวของไทยจะต้องจ่ายค่าตัวดาราระดับโลกอย่าง รัสเซล โครว์ กี่ร้อยล้านบาท เพื่อจ้างเขามาเป็นพรีเซนเตอร์ เพื่อพูดตามบทที่ต้องเสียเงินจ้างคนมาเขียนบทโฆษณาเป็นภาษาอังกฤษอีกไม่รู้อีกเท่าไหร่ เพื่อให้น่าฟังและดึงดูดให้ชาวโลกมาเที่ยวเมืองไทย แถมด้วยค่าโปรดักชันอีกมหาศาล
แต่นี้ รัฐบาลของเรามีการส่งเสริมให้เมืองไทยเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ระดับโลก ซึ่งนอกจากเราได้เงินตราเข้าประเทศจากกองถ่ายแล้ว เรายังได้ดาราระดับโลกช่วยโฆษณาท่องเที่ยวแบบฟรีๆ แบบนี้
ที่สำคัญที่สุด คือ เป็นคำพูดที่มาจากใจ ที่เกิดจากประสบการณ์จริงที่ผู้มีชื่อเสียงระดับโลกได้มาสัมผัสเมืองไทย และคนไทยด้วยตนเอง และถ่ายทอดประสบการณ์อันน่าประทับใจของตนให้กับชาวโลก
มันจะขนาดไหนลองคิดดู
ถ้าคุณไม่ภูมิใจในความเป็นไทย ไม่ภูมิใจในประเทศไทย ผมก็ไม่มีคำพูดอะไรสำหรับคนอย่างคุณจริงๆ
ขนาดคนดังระดับโลก ที่ไม่ใช่เฉพาะ รัสเซล โครว์
แต่มีอีกมากมาย ยังถูกใจเมืองไทยและคนไทยได้ขนาดนี้
คุณคนไทยไม่ภูมิใจตัวเอง ก็ไม่ต้องหวังว่าคุณจะมีความภูมิใจใดๆ เหลืออยู่”
ขณะเดียวกัน เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น “นันทิวัฒน์ สามารถ” โพสต์ถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยระบุว่า •
จากกรณีวานนี้ (15 ต.ค. 64) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊กถึงการถูกดำเนินคดีของแกนนำผู้ชุมนุม ในทำนองโดนคดีกันถ้วนหน้า เพราะหลงเชื่อต่างชาติว่าจะช่วยเข้ามาแทรกแซงการเมืองไทย แต่ปรากฏว่าถูกหลอก และถูกเทแล้วนั้น
ล่าสุด วันนี้ นายนันทิวัฒน์ ก็ได้โพสต์ข้อความถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ว่า เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง โดยระบุว่า
.
“สถาบันกษัตริย์ : ผู้นำการเปลี่ยนแปลง
พระมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่รัชกาลที่ 3 ทรงตระหนักรู้ถึงภยันตรายจากฝรั่งต่างชาติ ทรงเตือนคนไทยว่า ภัยสงครามในอนาคตจะไม่มาจากเพื่อนบ้าน
รัชกาลที่ 4 ทรงศึกษาหาความรู้จากฝรั่งมิชชันนารี ทรงเตรียมพระราชโอรสธิดาให้เรียนรู้ภาษาอังกฤษและวิทยาการสมัยใหม่
รัชกาลที่ 5 ทรงส่งพระราชโอรสไปศึกษาในยุโรป เตรียมการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ ทรงนำพาประเทศรอดพ้นจากการรุมกินโต๊ะล่าอาณานิคมจากฝรั่งต่างชาติ
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงตรากตรำงานหนัก บุกป่าฝ่าดง เพื่อพัฒนาชาวบ้านในถิ่นทุรกันดาร เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนของชาวบ้าน ทรงเป็นหลักชัยในการต่อสู้กับภัยคอมมิวนิสต์ พระองค์ทรงมีความเชื่อว่า การต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ที่ดีที่สุด คือ แก้ไขความยากจนของประชาชนเพื่อสู้เสียงปืน กว่าที่พวกต่อต้านสถาบันจะเข้าใจ กว่าจะรู้ตัว ในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็เข้ายึดกุมหัวใจของประชาชนไปทั้งแผ่นดิน พวกต่อต้านสถาบันยิ่งไปไม่เป็น
เมื่อในหลวงองค์ปัจจุบัน พระองค์ทรงตรัสน้อย ตรัสไม่เก่ง แต่ทรงทำอย่างเงียบๆ ทรงช่วยเหลือจัดหาอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์แก้ภัยโควิดด้วยทุนทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อพสกนิกร สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นหลักชัยของประเทศ ที่ต่อต้านการเข้ายึดครอง ฮุบประโยชน์ของชาติจากนายทุนและนักล่าอาณานิคม เป็นก้างขวางคอชิ้นใหญ่ของคนคิดขายชาติ สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่เคยขายชาติ มีแต่สู้ปกป้องชาติ
กลุ่มคนที่คิดจะล้มล้างสถาบันฯ ร่วมมือกับต่างชาติเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองและสนองวัตถุประสงค์ของฝรั่งต่างชาติ ที่พยายามทำลายผู้นำที่เข้มแข็งของทุกประเทศ เพื่อสะดวกในการครอบงำ และฉกชิงรับใช้ผลประโยชน์ของชาติตน”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
“จับตาคนกรุงเทพ
เทเสียงเลือกผู้แทนพรรคก้าวไกลเป็นผู้ว่าฯ กทม.!!!!!
อาจเป็นการเทเสียงชนิดมืดฟ้ามัวดินจาก 3 กลุ่ม
1. จากเยาวชนคนหนุ่มสาวนิสิตนักศึกษาทุกสถาบันจะระดมกันเทเสียงให้
2. คนทำงาน คนชั้นกลาง ที่ได้แสดงการกระทำให้เห็นแล้วจากการบริจาคเงินในการเสียภาษี ที่ทำให้พรรคก้าวไกลได้รับเงินบริจาค มากที่สุด ขนาดทุกพรรคที่เหลือรวมกันยังน้อยกว่า!
3. ผู้ประกอบการและคนตกงานทั้งหลายที่ได้รับผลกระทบ จากประกาศ สถานการณ์ฉุกเฉิน ล็อกดาวและเคอร์ฟิว รวมทั้งคนทั้งหลาย ที่ระอาใจกับการโกงชาติฉ้อราษฎร์บังหลวงและการเหยียบย่ำความยุติธรรมในบ้านเมือง
คอยดูกันต่อไป!
แน่นอน, ทุกเรื่องที่หยิบยกมาล้วนชวนให้คิดทั้งสิ้น เริ่มจาก ประเด็น “อัษฏางค์” ปลื้มคำพูดของ “รัสเซล” พระเอกฮอลลีวูด ที่กล่าวชมประเทศไทย คนไทย สถานที่ท่องเที่ยวไทย ทั้งยังทำตัวเป็นตัวแทนคนไทยในการประชาสัมพันธ์ให้คนมาเที่ยวไทยด้วย
ตรงข้ามกับ “คนบางกลุ่ม” ในประเทศไทย ที่ด้อยค่าประเทศตัวเอง เพียงเพราะแค้นผู้นำ แค้นผู้มีอำนาจ จึงพาลมาลงกับประเทศไทย ไม่สนใจจะเกิดวามเสื่อมเสียอย่างไร แถมยังไม่อยากเห็นใครมาชื่นชมประเทศไทย ให้ผู้นำได้หน้าได้ชื่อเสียง ต่อให้เป็นประโยชน์ต่อสวนรวม และประเทศชาติก็ตาม
ก็ไม่รู้ว่า ต้องเสียสติแค่ไหน จึงคิดอย่างนี้ได้!!!
ไม่แปลก ที่ “อัษฏางค์” จะเหน็บคนกลุ่มนี้ว่า อาจตีตรา “รัสเซล” เป็น “สลิ่ม”
เรื่อง ม็อบสามนิ้ว หรือ ม็อบเรียกร้อง “ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์” ถือ เป็นปัญหาใหญ่ ที่ยากจะแก้ไข และหาทางออกได้
เพราะประเด็นไม่ได้อยู่เพียงแค่ว่า ต้องการให้รัฐบาล หรือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาพูดคุยกับเด็ก อย่างที่นักการเมืองบางคน และบางกลุ่มเรียกร้อง หรือ ออกมาพูดเพื่อให้เห็นว่า ปัญหาอยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์
แต่ความจริง และเป็นสิ่งที่หลายคนก็รู้อยู่แก่ใจดี ว่า เด็ก หรือ ม็อบสามนิ้ว คุยกับ พล.อ.ประยุทธ์ ให้ตายก็คุยไม่รู้เรื่อง เพราะ ข้อเรียกร้องต้องการของม็อบสามนิ้ว อยู่สูงกว่ารัฐบาล แถมพฤติกรรมการเรียกร้อง เห็นชัดว่า ต้องการสร้างแรงกดดัน บีบคั้นให้ทำตามความต้องการทุกรูปแบบ แม้จะเป็นการทำผิดกฎหมายอย่างที่เห็น
แถมไม่ต้องการประนีประนอม อย่างที่ นักวิชาการ “หัวโจก” ล้มเจ้า เคยพูดไว้ว่า “ปฏิรูป (สถาบันฯ) แบบปฏิวัติ” หรือ ปฏิรูปให้ได้มากที่สดเป็นอย่างต่ำ ลองคิดดู ว่าถ้าเป็น นายทักษิณ ชินวัตร จะพูดกับเขารู้เรื่องหรือไม่?
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงเป็นเรื่องใหญ่ และยืดเยื้อ ที่คนไทยจะต้องพลอยมารับชะตากรรมกับ กลุ่มคนคลั่งลัทธิ และคลั่งตำรา “ปฏิวัติ” ที่นับวันจะล้างสมองเด็กคนรุ่นใหม่ ให้เพ้อฝันไปไกลกว่าที่จะเกิดขึ้นได้ และสุดท้ายปลายทางก็คือ เรือนจำ
ส่วนเรื่องที่ “ลุงไพศาล” ลุกขึ้นมาท้าทาย คน กทม. ว่าจะเทเสียงเลือกผู้ว่าฯ กทม.ของผู้สมัครพรรคก้าวไกล อย่างมืดฟ้ามัวดิน โดยเน้นไปที่ฐานเสียง 3 กลุ่ม โดยเฉพาะนักศึกษาทุกสถาบัน นั้น ก็ต้องจับตามอง เพราะอย่าลืมว่า คน กทม. ไม่ได้มีแต่นักศึกษา และเอาเข้าจริง คนที่เป็นพลังเงียบต่างหากที่จะเป็นตัวตัดสิน เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา และดูเหมือนคนที่ มีปากมีเสียง ปลุกกระแสในโลกโซเชียล พอถึงวันเลือกตั้ง อาจไม่ไปลงคะแนนก็เป็นได้
ไม่นับคะแนนที่คน กทม. เบื่อม็อบ ไม่เอาพวก “ล้มเจ้า” ที่อาจจะถล่มทลาย เหมือนกับที่เคยพิพากษา ผู้สมัคร “คณะก้าวหน้า” ในการเลือกตั้ง นายก อบจ.และนายก เทศบาลทั่วประเทศมาแล้ว ที่ได้ที่นั่งไม่กี่คน เมื่อเทียบกับจำนวนที่ส่งลงสมัครรับเลือกตั้ง
เหนืออื่นใด ทำให้เห็นชัดว่า ปัญหาทุกอย่างในประเทศไทยเวลานี้ ล้วนโยงใย เป็นผลมาจากการต่อสู้ทางการเมือง เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของนักการเมือง โดยเฉพาะนักการเมืองที่มีเงินทุนอย่างมหาศาล ที่พร้อมทุ่มทุนต่อสู้กี่ชาติก็ไม่หมด โดยไม่สนใจว่า คนจน คนอดอยากหาเช้ากินค่ำจะมีผลกระทบอย่างมากกว่าใคร ตรงข้าม กลุ่มคนเหล่านี้นั่นเอง ที่ใช้คนจนเป็นข้ออ้างในการต่อสู้อย่างโหดร้ายที่สุด ใครไม่เชื่อก็ลองพิจารณาดูให้ดี