“ประยุทธ์” ตรวจเยี่ยมน้ำท่วมวารินชำราบ ย้ำให้ความสำคัญจัดการน้ำ ทราบปัญหาเกษตรกร ฝากใจชาวอุบลฯ ขอเวลาทำสัญญาให้สำเร็จ วอนคนไทยรักสามัคคีไม่แบ่งแยก ม็อบนักศึกษา ม.อุบลฯ 2 คน บุกป่วนไล่ ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยเข้ม
วันนี้ (15 ต.ค.) เมื่อเวลา 15.20 น. ที่ศาลาประชาวาริน ต.วารินชำาราบ อ.วารินชําราบ จ.อุบลราชธานี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ตรวจเยี่ยมการบรรเทาภัยและการฟื้นฟูผู้ประสบภัยในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี โดยทันทีที่มาถึงตัวแทนชาวบ้านได้ผูกผ้าขาวม้าให้นายกฯ และ ครม.ที่ร่วมคณะ โดยนายกฯได้ขอบคุณชาวบ้าน พร้อมกล่าวว่า “รักกันไว้เถิด” ก่อนกล่าวกับกลุ่มข้าราชการและผู้ใหญ่บ้านที่มาต้อนรับ ขอให้ร่วมกันทำความดี
จากนั้น นายกฯ พบปะผู้ประสบอุทกภัย โดยกล่าวว่า ขอบคุณชาวอุบลราชธานีจากความรักและความมีมิตรไมตรีต่อกัน ตั้งแต่ในช่วงเช้าวันนี้ ที่ตนนำ ครม.มาหลายคนด้วยกัน วันนี้ฝากหัวใจนายกฯด้วย ห่วงทุกคนวันนี้ก็ห่วงกรุงเทพฯเหมือนกัน โดยเฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา ตนทราบดีวันนี้ทุกคนมีความเดือดร้อนในช่วงน้ำท่วมอุทกภัย ซึ่งประเทศไทยประสบปัญหานี้มานานแล้ว น้ำท่วมฝนแล้งรัฐบาลพยายามทำอย่างยิ่งยวดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จะเห็นว่า ในพื้นที่ที่ท่วมมากท่วมน้อยลง ส่วนพื้นที่ที่ท่วมประจำก็ต้องดูแล โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มต่ำต้องลดความเสียหายให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะผลกระทบเศรษฐกิจในเมือง ซึ่งถ้าสถานการณ์ฝนไม่ใช่ปกติมีพายุมาเราต้องได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า วันนี้รัฐบาลและนายกฯให้ความสำคัญในการบริหารจัดการน้ำมาโดยตลอด ทำอย่างไรไม่ให้ท่วมพื้นที่เศรษฐกิจ พื้นที่ในเมือง และดูแลพื้นที่ลุ่มต่ำให้ท่วมน้อยที่สุด ประเทศไทยคนส่วนใหญ่อาศัยอยู่ใกล้น้ำเป็นบริบทของประเทศไทย ซึ่งเราต้องระมัดระวังและเตรียมการให้พร้อมโดยรัฐบาลจะแก้ปัญหาให้ได้มากที่สุด วันนี้ต้องเร่งระบายน้ำออกให้ได้พร้อมเก็บน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้ง โดยหากมีความสูญเสียอะไรก็ตาม ตนต้องขอแสดงความเสียใจด้วย แต่รัฐบาลจะดูแลให้ดีที่สุด รวมทั้งการเยียวยาต่างๆ วันนี้ให้สำรวจไปแล้วในเรื่องความเสียหาย ตนเชื่อมั่นจากที่มาจังหวัดอุบลฯ ตั้งแต่ในช่วงเช้าวันนี้คิดว่าชาวอุบลเป็นคนเข้มแข็งและเป็นคนใจสู้
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขณะเดียวกัน ตนทราบดีถึงปัญหาของชาวนา ข้าว มันสำปะหลังทั้งหมด ซึ่งเราเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ต้องปรับความคิดใหม่เรียนรู้ไปด้วยกัน ขอเวลาให้ตนระยะหนึ่ง ตนจะพยายามทำสำเร็จให้ได้มากที่สุด วันนี้มายืนยันกับทุกคนว่าตราบใดที่นายกฯยืนอยู่ตรงนี้จะทำให้ดีที่สุดเพื่อลูกหลานของเรา ปัญหาทุกปัญหานายกฯ คนเดียวแก้ไม่ได้ทั้งหมด ต้องรับฟังทุกคนและรับฟังความคิดเห็นของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย รวมถึงการทำประชาพิจารณ์ต่างๆ จึงขอให้รับฟังในสิ่งที่เป็นประโยชน์และข้อเท็จจริงว่าเราจะได้อะไร ยอมเสียเล็กน้อยได้อะไร หากไม่เสียอะไรเลยคงไม่ได้อะไร ตนไม่อยากให้เกิดผลกระทบกับใครทั้งสิ้น ขอให้อุทกภัยครั้งนี้คลี่คลายไปโดยเร็วที่สุดรัฐบาลจะดูแลให้ดีที่สุด
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้ นายกฯ ยังอยู่ตรงนี้ สัญญากับประชาชนไว้แล้วจะทำให้ดีที่สุด และขอให้ฟังในสิ่งที่นายกฯพูดบ้าง วันนี้เตรียมเปิดประเทศ เตรียมการท่องเที่ยว การค้าขายก็จะดีขึ้น เราต้องเดินหน้าอย่างระมัดระวังท่ามกลางสถานการณ์โควิด สิ่งสำคัญที่สุดหลักชัยแกนของประเทศ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชนก็อยู่ตรงนี้ต้องไปด้วยกันไปข้างหน้า
เมื่อถึงช่วงนี้นายกฯถามประชาชน ว่า พร้อมจะไปกับนายกฯหรือไม่ ซึ่งประชาชนตะโกนตอบว่า “พร้อม” นายกฯ จึงกล่าวว่า “ไปด้วยกัน นายกฯ รัฐบาล ส.ส. และข้าราชการทั้งหมดเป็นกระบวนการบริหารราชการแผ่นดินทั้งสิ้น ทุกคนต้องร่วมมือกัน การทำงานเราจะทำแบบเก่าๆ ไม่ได้แล้ว ต้องเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับเรา ซึ่งอาจจะยังไม่ทั่วทุกครัวเรือนทุกพื้นที่ แต่มันต้องเกิดผลให้เป็นรูปธรรม วันนี้เห็นใจบางอย่างติดกติกา กฎหมายหลายอย่าง ต้นทุนการผลิตสูง นายกฯต้องรื้อใหม่ทั้งหมด เพราะติดกฎหมายและกฎระเบียบหลายอย่างที่เราไปแทรกแซงไม่ได้ เพราะเป็นกติกา แต่จะพยายามทำให้ดีที่สุด”
นายกฯ กล่าวอีกว่า ขณะที่เรื่องสถานการณ์โควิด เราต้องเดินหน้าฉีดวัคซีนให้มากขึ้น ไม่ต้องเลือกยี่ห้อ เพราะทุกยี่ห้อล้วนดีไม่ทำให้เจ็บป่วยรุนแรงและลดอัตราการเสียชีวิตได้ พร้อมกันนี้ อยู่ที่พวกเราทุกคนด้วย ขอให้ระวังตัวเองให้ดีที่สุด เพราะเราต้องอย่าให้มีการแพร่ระบาดอีกครั้งไม่เช่นนั้นก็จะเปิดอะไรไม่ได้ การท่องเที่ยวก็ลำบาก
นายกฯ ฝากทิ้งท้ายด้วยว่า ขอให้ทุกคนดูแลกันให้ดีที่สุด พ่อแม่ลูก ครอบครัว คือ จุดเริ่มต้นของทุกอย่าง พ่อ แม่ ลูก ปู่ ย่า ตา ยาย นั่นคือ วัฒนธรรมอัตลักษณ์ของคนไทย ซึ่งทุกคนมาประเทศไทยก็ทึ่งกับตรงนี้ เราจึงต้องให้ความสำคัญตรงนี้ให้ดีที่สุด นอกจากนี้ ขอให้ติดตามข่าวที่เป็นประโยชน์เป็นสาระและเป็นข้อเท็จจริง เราเดือดร้อนพออยู่แล้วอย่าไปแบกรับปัญหาอื่นๆ เข้ามาเลย ปัญหานั้นนายกฯรับเอง จะได้แก้ปัญหาทุกคนให้ได้ทุกเรื่อง ขอฝากความรักความห่วงใยฝากหัวใจไว้กับชาวอุบลราชธานีด้วย
โดยเมื่อมาถึงช่วงนี้นายกฯถามชาวบ้านอีกว่า รับฝากหัวใจนายกฯหรือไม่ ซึ่งชาวบ้านตอบว่า “รับ” นายกฯ จึงกล่าวว่า “ฝากหัวใจไว้กับทุกคน หัวใจของพวกเรา คือ ประชาชนสำคัญที่สุด ตราบใดที่ประชาชนยังหน้าตาไม่ผ่องใส ยังมีรายได้ไม่เพียงพอ ยังมีหนี้สินและทุกข์ นายกฯรู้และรับทุกอย่างเข้าสู่กระบวนการ ต้องแก้ให้ได้เร็วที่สุด แต่ทุกอย่างต้องเริ่มต้นไปด้วยกัน ร่วมมือกับรัฐบาล ไม่เช่นนั้นก็ขัดแย้งกันไปมา ทำอะไรไม่ได้
จากนั้นนายกฯเดินพบปะประชาชน พร้อมมอบถุงยังชีพ และกล่าวตอนหนึ่งว่า “อีสานคนสู้ คนอีสานยอมแพ้ที่ไหน” พร้อมกล่าวว่า “ถ้าพวกเราสู้ นายกฯก็สู้ สู้ไปกับนายกฯ นายกฯสู้คนเดียวไม่ได้”
ทั้งนี้ ในช่วงนายกฯเดินพบปะประชาชนได้มีการเปิดเพลง “บ้านเกิดเมืองนอน” นายกฯ จึงถามชาวบ้านว่า รู้จักเพลงนี้ไหม บ้านเกิดเมืองนอนของเราอยู่ที่ไหนประเทศไทย ประเทศไทยเป็นของใคร เป็นของคนไทยทุกคน คนไทยทุกคนต้องรักกันและสามัคคีกัน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เราถอยหลังไปไหนไม่ได้อีกแล้ว ประเทศไทยอยู่แค่นี้แล้ว อย่าแบ่งแยกกัน เราเหมือนครอบครัว คนไทยต้องเป็นครอบครัวเดียวกัน และเดินหน้าไปด้วยกัน นายกฯจะทำให้ดีที่สุดให้กับพวกเรา
ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจ นายกฯ พร้อมคณะ เดินทางกลับกรุงเทพฯ ทั้งนี้ ระหว่างที่รถนายกฯ เคลื่อนขบวนได้เกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นเล็กน้อย เมื่อนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี จำนวน 2 คน ได้ถือป้ายพร้อมตะโกนขับไล่นายฯ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาห้ามปรามและไม่ได้มีเหตุการณ์ความรุนแรงแต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการรักษาความปลอดภัยการลงพื้นที่ของนายกฯ ได้เตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี ทั้งในและนอกเครื่องแบบ 2 กองร้อย กระจายกำลังเจ้าหน้าที่ประจำจุดต่างๆ เพื่อป้องกันเหตุการณ์ความวุ่นวาย หลังการข่าวจะมีการนัดรวมตัวเคลื่อนไหวที่บริเวณศาลหลักเมืองอุบลราชธานี ในเวลา 13.00 น. นำโดย ว่าที่ ร.ต.ฉัตรชัย แก้วคำปอด หรือ ทนายแชมป์ แกนนำม็อบอุบลปลดแอก ซึ่งมวลชนจะเดินทางมาที่ศาลาประชาวาริน ซึ่งเป็นจุดที่นายกฯจะรับฟังปัญหาของประชาชน ทั้งนี้ ยังมีการเตรียมความพร้อมหากเกิดเหตุการณ์เหมือนการลงพื้นที่ จ.ขอนแก่น ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เมื่อวันที่ 14 ต.ค. ที่ถูกมวลชนออกมาต่อต้านจนเกิดการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ เพราะถือเป็นพื้นที่ฐานเสียงของพรรคฝ่ายค้าน ที่อาจเกิดการต่อต้านจากคนในพื้นที่ได้
