โฆษกรัฐบาล เผย ไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพจัดประชุม เอเปก 65 เลื่อนประชุม ครม. 26 ต.ค. เป็น 25 ต.ค. เหตุมีประชุม รมต.อาเซียน นายกฯขอ ปชช.ดูแลป้องกันช่วงหยุดยาว หวั่นโควิดระบาด ย้ำให้ความสำคัญ SME เร่งช่วยผู้ประกอบการขาดทุน
วันนี้ (12 ต.ค.) นายธนกร วังบุญคงชนะ เผยว่า ที่ประชุม ครม. มีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการระดับชาติเพื่อเตรียมการจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก หรือ Asia Pacific Economic Cooperation ซึ่งเป็นกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างเขตเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ปัจจุบันมี สมาชิก 21 เขตเศรษฐกิจ โดยไทยกำลังจะรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพการประชุม APEC ในปี 2565 โดยเป็นการรับช่วงจากประเทศนิวซีแลนด์ ตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน นี้
คณะกรรมการได้รายงานความคืบหน้า ในการพัฒนาผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมและข้อริเริ่ม/โครงการ ภายใต้แต่ละประเด็นสำคัญ ได้แก่
1. การส่งเสริมการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนและครอบคลุม ภายใต้ แนวทาง BCG Economy
2. การอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุน
3. การฟื้นฟูความเชื่อมโยงโดยเฉพาะการเดินทางและการท่องเที่ยว อย่างปลอดภัยและไร้รอยต่อเพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของโควิด-19
“การเป็นเจ้าภาพการประชุม APEC ในปี 2565 ไทยพร้อมจะผลักดันวาระต่างๆ ของรัฐบาล โดยเฉพาะ BCG Economy ในระดับกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ นอกจากนี้ การฟื้นตัวหลังสถานการณ์โควิด-19 จะเป็นประเด็นสำคัญที่ผู้นำโลกจะใช้โอกาสนี้ในการประชุมหารือ ซึ่งนับเป็นโอกาสที่ดีที่ไทยจะได้แสดงศักยภาพและเป็นเวทีระดับนานาชาติ” นายธนกร กล่าว
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังแถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า นายกฯแจ้งเลื่อนประชุม ครม.ในสัปดาห์สุดท้ายปลายเดือน ต.ค.ที่จะมีการประชุม ครม.ในวันที่ 26 ต.ค. เป็นวันที่ 25 ต.ค.เนื่องจากมีการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 38 และ 39 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 26-28 ต.ค. 2564 นอกจากนี้ ในสัปดาห์หน้าจะมีวันหยุดยาวถึง 4 วัน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีฝากไปยังประชาชนให้ช่วยกันดูแลป้องกันตนเองตามมาตรการสาธารณสุข เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วงวันหยุด.
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังแถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า นายกรัฐมนตรีสั่งการว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยเร่งช่วยเหลือเอสเอ็มอีที่ยังขาดทุน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และให้ความสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 3.1 ล้านราย โดยให้ทุกส่วนราชการสนับสนุนเอสเอ็มอี ในการเข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐไม่น้อยกว่า 30% ของงบประมาณ และมอบหมายให้กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ผลักดันการวิจัยและพัฒนาสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลาย โดยใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพของไทยในการส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอี