นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะรองประธานกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เป็นผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเอเปก ครั้งที่ 27 ณ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) โดยในปีนี้เขตเศรษฐกิจนิวซีแลนด์ซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผ่านระบบการประชุมออนไลน์ ซึ่งที่ประชุมได้มีการหารือกันใน 2 ประเด็นหลัก คือ 1) การใช้ดิจิทัลเพื่อการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพ และ 2) การฟื้นฟูผู้ประกอบการด้วยการส่งเสริมอย่างครอบคลุมและการเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดี
นายสุพัฒนพงษ์ได้ร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลในทั้ง 2 หัวข้อ โดยในประเด็นการใช้ดิจิทัล ได้นำเสนอเรื่องการพัฒนาระบบนิเวศดิจิทัล (Digital Ecosystem) กรณีศึกษา การให้บริการการรับซื้อเอกสารการค้าออนไลน์ (Digital-Factoring) ซึ่งเป็นไปตามหลักการใช้โครงสร้างการทำงานแบบเปิด ซึ่งกำหนดให้มีผู้ใช้งานได้จากหลายภาคส่วน (open architecture) โดยมีลูกค้าเป็นศูนย์กลางด้วยผลตอบแทนที่สมดุล (customer centric with balanced incentives) ใช้เทคโนโลยีที่จะเพิ่มประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงในกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรม และคลายความกังวลที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้ระบบการรับซื้อเอกสารการค้าที่มีอยู่เดิม โดยการร่วมกันพัฒนาระบบนิเวศดิจิทัลสำหรับธุรกรรมการรับซื้อเอกสารการค้าออนไลน์ ด้วยความร่วมมือจากหลายภาคส่วนจะช่วยให้ MSME ไทยเติบโตได้ตามศักยภาพและช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น เทคโนโลยีเหล่านี้จะเป็นแรงส่งให้ MSME รายย่อยได้เปิดรับนวัตกรรมใหม่ๆ และพัฒนาตนเองเพื่อรองรับเศรษฐกิจดิจิทัลที่จะมีบทบาทเพิ่มขึ้นในอนาคต
สำหรับประเด็นการฟื้นฟูผู้ประกอบการด้วยการส่งเสริมอย่างครอบคลุมและการเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดี นายสุพัฒนพงษ์ได้หยิบยกมาตรการต่างๆ ที่รองรับการส่งเสริม MSME ทุกขนาดอย่างทั่วถึง รวมทั้งผู้ประกอบการนอกระบบ และประชาชนทั่วไปที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 19 เช่น โครงการธงฟ้า โครงการเราไม่ทิ้งกัน โครงการคนละครึ่ง และโครงการเราเที่ยวด้วยกัน รวมทั้งมาตรการส่งเสริมการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ หรือ Thai SME GP ซึ่งมาตรการทั้งหมดดังกล่าวมีส่วนในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และกำลังซื้อทั้งจากภาครัฐ และเอกชน
ทั้งนี้ ผลลัพธ์ของการประชุมในครั้งนี้ คือถ้อยแถลงรัฐมนตรีวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเอเปก ครั้งที่ 27 ซึ่งมีเนื้อหาเพื่อสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและธุรกิจสตาร์ทอัพในการเข้าสู่ระบบการค้าภายในประเทศและการค้าระหว่างประเทศในการเข้าถึงตลาดนานาชาติและห่วงโซ่อุปทาน โดยการอำนวยความสะดวกทางการค้าที่เปิดกว้างและทั่วถึง รวมถึงสภาพแวดล้อมการลงทุน ในช่วงการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 19 การใช้ดิจิทัลเพื่อการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพและการฟื้นฟูผู้ประกอบการด้วยการส่งเสริมอย่างครอบคลุมและการเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดี
นอกจากนี้ ร่างถ้อยแถลงดังกล่าวมีความสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาของประเทศไทยเพื่อให้บรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นการต่างประเทศ กรอบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 หมุดหมายที่ 7 ซึ่งสนับสนุนให้ประเทศไทยมีระบบนิเวศที่เหมาะสมต่อการเติบโตของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยพัฒนาให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมีศักยภาพสูง เข้าถึงแหล่งทุน องค์ความรู้เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและมูลค่าของสินค้าและบริการ นอกจากนี้ ร่างถ้อยแถลงฯ ดังกล่าวยังจะมีส่วนช่วยสนับสนุนการดำเนินการภายใต้การยกระดับวาระการปฏิรูปโครงสร้างเอเปก (EAASR) ซึ่งมุ่งเน้นการสนับสนุนให้เขตเศรษฐกิจดำเนินการปฏิรูปโครงสร้างเพื่อกระตุ้นการเติบโต เสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ ตลอดจนส่งเสริมสภาพความเป็นอยู่ที่ดี ผ่านการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างเวทีต่างๆ
นายสุพัฒนพงษ์ยังได้เชิญชวนให้รัฐมนตรีเอเปกเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเอเปก ครั้งที่ 28 ในเดือนกันยายน ปีหน้า (2565) ณ จังหวัดภูเก็ต ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพ โดยหัวข้อหลักของการประชุมคือ การฟื้นฟูผู้ประกอบการ MSME ในภูมิภาคเอเปกอย่างครอบคลุมผ่านระบบนิเวศที่มีผลกระทบสูง (Inclusive Recovery of APEC SMEs through high impact Ecosystem) ซึ่งจะยังคงเน้นย้ำในการฟื้นฟูผู้ประกอบการในช่วงหลังสถานการณ์โควิด-19 อย่างทั่งถึง และครอบคลุม เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป