xs
xsm
sm
md
lg

สู่วังวน! “นิพิฏฐ์” ชึ้จุดจบ “ทอน-ปิยบุตร” “ไพศาล” เตือน “ลุงตู่” เจอแจ็กพอต จับตา “ธรรมนัส” นำทัพ “เต้น” สุมไฟ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กับ ปิยบุตร แสงกนกกุล จากแฟ้ม
วังวนน้ำเน่า? “นิพิฏฐ์” ชี้ จุดจบ “ทอน-ปิยบุตร” ตัวอย่าง ปัญหา “นักการเมือง-นัก กม.รุ่นใหม่” “ไพศาล” เตือนรัฐบาลระวังแจ็กพอต! ฝ่ายค้านยื่น ป.ป.ช. ให้จับตา “ธรรมนัส” พร้อมเลือกตั้ง “เต้น ณัฐวุฒิ” สุมไฟ “พปชร.”

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (4 ต.ค. 64) นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หัวข้อ “ปัญหาของนักการเมืองรุ่นใหม่ และนักกฎหมายรุ่นใหม่” โดยระบุว่า

“นักกฎหมายรุ่นใหม่ ไม่มีพื้นฐานทางการเมือง ส่วนนักการเมืองรุ่นใหม่ ก็ไม่มีพื้นฐานทางกฎหมาย เมื่อคนรุ่นใหม่เอา 2 เรื่องมาพูดรวมกัน เลยทำให้สถานการณ์ของคนรุ่นใหม่เลวร้ายลงไปอีก สิ่งที่นักกฎหมายรุ่นใหม่ และ นักการเมืองรุ่นใหม่ ต้องเรียนรู้ คือ หลักการที่ว่า “ไม่มีการยกเลิกกฎหมายเพราะมีผู้ทำผิดรวมหมู่เป็นจำนวนมาก” นักปราศรัยรุ่นใหม่ พอใจ การตอบรับของมวลชนหน้าเวที จนลืมอันตรายที่เกิดจากการปราศรัย ความจริงเรื่องนี้นักการเมืองรุ่นพี่ก็ทำตัวตัวอย่างให้เห็นแล้วว่า การปราศรัยที่ฝ่าฝืนกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ สุดท้ายก็ “ไปไม่รอด” แม้เพียงคนเดียว

ภาพ นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ จากแฟ้ม
ผมขออนุญาต ยกตัวอย่างคนรุ่นใหม่อย่าง คุณธนาธร และ อ.ปิยบุตร (ขออภัยเอ่ยชื่อท่าน) คุณธนาธร เป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ที่ไม่ชำนาญด้านกฎหมาย ส่วน อ.ปิยบุตร ก็เป็นนักกฎหมาย ที่ไม่ชำนาญด้านการเมือง โดยส่วนตัวผมก็เคารพทั้ง 2 ท่าน เคยพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกัน สุดท้ายทั้ง 2 ท่าน ก็มีจุดจบตามที่เห็น

ผมวิจารณ์คนอื่นแล้วไม่วิจารณ์ตัวเองก็คงไม่เป็นธรรมเท่าไหร่ ผมก็คงเป็นนักการเมืองและนักกฎหมายรุ่นเก่า ผมจึงแพ้การเลือกตั้งในคราวที่แล้วให้กับพรรคภูมิใจไทย แต่สุดท้ายคนที่ชนะผม ศาลฎีกาก็สั่งให้หยุดการปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากไม่ปฏิบัติหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎรด้วยตัวเอง แทนที่การเมืองจะก้าวหน้า เรากลับได้การเมืองที่ล้าหลังมาแทน”

ภาพ นายไพศาล พืชมงคล กับ ร.อ.ธรรมนัส ขอบคุณภาพจากสยามรัฐออนไลน์
ขณะเดียวกัน นายไพศาล พืชมงคล นักกฎหมาย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า

“ด่วน
มีรายงานข่าวว่า วันนี้ พรรคร่วมฝ่ายค้านจะนำผลจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาผู้แทนฯ ไปเป็นข้ออ้างในการยื่นข้อกล่าวหาต่อ ป.ป.ช. ขอให้ทำการไต่สวนนายกรัฐมนตรีว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และโดยทุจริต โดยเฉพาะในกรณีเกี่ยวกับการแก้ปัญหาโคบ้า

ในขณะที่กรรมาธิการชุด พล.ต.อ.เสรี ก็กำลังสอบสวนเกี่ยวกับกรณีที่ ส.ส. พรรคร่วมฝ่ายค้านเข้าชื่อกัน ขอให้สอบสวนกรณีซื้อ ส.ส. ในกรณีลงมติไม่ไว้วางใจอยู่อีกเรื่องหนึ่ง

หลายเรื่องรุมเร้ามะรุมมะตุ้มอยู่เช่นนี้ หากมีเรื่องแจ็กพอตสักเรื่องหนึ่งก็ยุ่งละครับ!!”

นอกจากนี้ นายไพศาล ยังโพสต์เรื่องกระแสข่าวเลือกตั้งด้วยวา

“ธรรมนัส” นำทัพหน้าเตรียมเลือกตั้งแล้ว!!!
การเลือกตั้งเที่ยวนี้ ผู้สมัครรับเลือกตั้งจะต้องผ่านกระบวนการเลือกขั้นต้นจากเขตเลือกตั้งก่อน!!!

1. เมื่อวานซืน กกต. เผยแพร่หนังสือแจ้งทุกพรรคการเมืองให้เตรียมการเลือกตั้ง ทั้งที่อายุของสภาผู้แทน ยังเหลืออีกตั้งเกือบ 2 ปี
จึงเป็นสัญญาณที่ต้องจับตามอง!

2. พปชร. ได้ดำเนินการเลือกผู้แทนเขตเลือกตั้งแล้ว โดยกำหนด 400 เขตเลือกตั้ง!
และลุงป้อมมอบร้อยเอกธรรมนัส เลขาธิการพรรค บัญชาการเรื่องนี้ทั้ง 400 เขตเลือกตั้ง เท่ากับเป็นแม่ทัพใหญ่ในสมรภูมิเลือกตั้ง!
แสดงถึงความพร้อมในการเลือกตั้งด้วยบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ตามร่างรัฐธรรมนูญใหม่
จึงเป็นสัญญาณที่น่าจับตาอีกสัญญาณหนึ่ง!

3. “การเมืองคือสงครามที่ไม่หลั่งเลือด”
เมื่อเป็นสงครามชนิดหนึ่งก็ต้องมี ยุทธศาสตร์ กลยุทธ์ ยุทธวิธี ยุทธการ การยุทธ์ และการรบ ทั้งกระบวน
เหตุนี้จึงไม่แปลกที่ ส.ส. กลุ่มต่างๆ ใน พปชร. จึงมาผนึกกำลังกัน โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่หัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค!
ไม่งั้นก็ไม่ได้ลงเลือกตั้งสิครับ!!!

4. หากเกิดเหตุการณ์พลิกผัน ยุบสภาก่อนที่ร่างรัฐธรรมนูญจะประกาศใช้ และต้องใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียวเหมือนเดิม
ซึ่ง พท. จะแปรขบวนเป็น 3 ขบวนรบ
พปชร. ก็แปรขบวนเป็น 3 ขบวนรบได้ทันท่วงทีเช่นกัน!!!
เพื่อไทย มีคนอย่าง “เตียวเหลียง” พปชร. ก็ย่อมมีคนอย่าง “เตียวเหลียง” เช่นกัน!!!
แต่ที่เพื่อไทยยังไม่ได้ทำตอนนี้ คือ การเลือกผู้แทนเขตเลือกตั้ง ในขณะที่ ร้อยเอก ธรรมนัส เลขาธิการพรรคนำทัพลุยแล้ว!!!

ภาพ เต้น - ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ จากแฟ้ม
ด้าน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำเครือข่ายไล่ประยุทธ์ (อ.ห.ต.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า

“พลันที่ พล.อ.ประวิตร ลั่นประกาศิตว่า ไม่มีการปรับ ครม. ทำให้เรื่องซึ่งเป็นธรรมดาเมื่อเก้าอี้รัฐมนตรีว่างลง กลายเป็นเดิมพันการอยู่หรือไปของรัฐบาล

ปรับไม่ปรับเป็นเรื่องของคนชื่อประยุทธ์ แต่เมื่อคนพูดกลายเป็นชื่อประวิตร จึงเท่ากับยื่นคำขาดต่อคนชื่อประยุทธ์ว่าถ้ากล้าปรับก็ลองดู ซึ่งก็ยังไม่แน่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะฟัง เพราะตัวนายกฯเองมีโจทย์การเมืองต้องแก้ โดยเฉพาะการบริหารอำนาจในสถานการณ์สำคัญ แผนเคลื่อนพรรคใหม่จะเดินคล่องกว่าถ้าปลัดฉิ่งได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรี

หมากนี้เท่ากับ พล.อ.ประวิตร รุกฆาต ทั้งทวง 4 หน่วยงานกระทรวงเกษตรฯคืนมาไว้ในมือ เท่ากับ ร.อ.ธรรมนัส ยังมีอำนาจในทางปฏิบัติต่อหน่วยงานเดิมที่กำกับตอนเป็นรัฐมนตรี และขวางลำการปรับ ครม. ไม่ยอมเสียโควตาพรรคให้นายกฯ

ถึงตรงนี้ พล.อ.ประยุทธ์เล่นยาก ยิ่งนานยิ่งยาก ใครเพ้อหาการเสียสละเพื่อประเทศ ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง การเมืองสะอาดของคนดี ตื่นมาดูความจริงด้วยว่าคนพวกนี้ทำอะไรกันอยู่ และบ้านเมืองพินาศไปแล้วขนาดไหน
อนาคตใหม่ถูกต
ส่วนประชาธิปัตย์ที่โวยวายเรื่องหน่วยงานโดนยึด ฮึดฮัดถึงขั้นจะอยู่กันไม่ได้ เป็นเรื่องตลกคั่นเวลา ดูเอาฮากันไป”

แน่นอน, สิ่งที่ “นิพิฏฐ์” ชี้จุดจบของ “ธนาธร-ปิยบุตร” ว่า เป็นความอ่อนเดียงสา ทั้งทางกฎหมาย และทางการเมือง ที่ทั้งสองคนต่างมีต่างกัน จนนำมาสู่ความล้มเหลว ทั้งการต่อสู้ในสภา และนอกสภา

ในสภา เป็นที่ทราบกันดีว่า ทั้งสองถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปี เนื่องจากอดีตพรรคอนาคตใหม่ ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรค กรณีธนาธร ให้พรรคกู้เงินกว่า 100 ล้านบาท ขัดต่อกฎหมายพรรคการเมือง

ส่วนนอกสภา เป็นผลจากความไม่พอใจที่ถูกยุบพรรค ซึ่งเชื่อว่า ถูกกลั่นแกล้งรังแกทางการเมือง และไม่อยากให้พวกตนได้เข้าไปทำงานในสภา จึงปลุกม็อบลงถนน เริ่มจาก แฟลชม็อบถ้ายังจำได้ จนกลายมาเป็นม็อบสามนิ้ว และทะลุแก๊สในปัจจุบัน

คำถาม คือ ธนาธร และอดีตพรรคอนาคตใหม่ ทำผิดจริงหรือไม่ ถ้าจริง ก็ไม่มีเหตุผลที่จะอ้างว่า ถูกกลั่นแกล้งรังแก เพราะไม่มีใครไปจับมือทำผิด หรือ บังคับให้ทำผิด? ก็ต้องโทษความไร้เดียงสา ทั้งทางกฎหมาย และการเมืองสถานเดียว อย่างที่ “นิพิฏฐ์” ชี้ให้เห็น

ส่วนความล้มเหลวของม็อบก็เช่นกัน พวกเขาคิดว่า การเปลี่ยนแปลงประเทศ ทำได้ด้วยความกล้า บ้าดีเดือดของ เด็กเยาวชนกลุ่มหนึ่ง และเปลี่ยนแปลงได้แค่ “พลิกฝ่ามือ” โดยเอาการ “ปฏิวัติ” ในตำราประวัติศาสตร์มาเป็นธงชี้นำทางความคิด และเชื่อมั่นว่า ประชาชนจะลุกฮือเข้าร่วม ในประเด็น “ปฏิรูปสถาบันฯ” ศูนย์รวมจิตใจคนไทย ซึ่งเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ และไม่มีทางเกิดขึ้นได้

จึงเท่ากับ หลอกเด็กมาติดคุกแทนเท่านั้น

ส่วนสถานการณ์ทางการเมืองที่เป็นอยู่ แม้มีสัญญาณให้เห็นว่า พรรคการเมืองเตรียมการเลือกตั้งอย่างคึกคัก แต่ประเด็นที่น่าวิเคราะห์ก็คือ “เงื่อนไข” ในพรรคพลังประชารัฐ และรัฐบาลประยุทธ์ วิกฤติหนักถึงขั้นต้องยุบสภาหรือยัง หรือ รัฐบาลยังทำงานได้หรือไม่ ถ้ายังทำงานได้ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องด่วนยุบสภา เพราะจะแน่ใจได้อย่างไรว่า รัฐบาลจะได้กลับมาอีกครั้ง ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่น่ากลัวยิ่งกว่า ยังอยู่ในอำนาจ แม้ต้องเผชิญปัญหาความขัดแย้งภายในพรรค จริงหรือไม่ ก็ลองคิดดู!?


กำลังโหลดความคิดเห็น