xs
xsm
sm
md
lg

สธ.คืนความสุขคนไทย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ไม่ใช่ความฝันอีกต่อไปกับการฉีดวัคซีนให้ได้ถึง 100 ล้านโดสในปีนี้ ซึ่งจะเท่ากับมีประชาชนได้รับวัคซีนแล้ว 70% ซึ่งหากทำสำเร็จ จะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ในระดับป้องกันการป่วยหนัก และเสียชีวิต ซึ่งจะเป็นรากฐานในการคลายล็อกให้ประชาชนได้กลับมาใช้ชีวิต

โดยล่าสุด ประเทศไทย สามารถฉีดวัคซีนได้เกิน 50 ล้านโดสไปเมื่อวันที่ 24 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งในวันเดียวนั้น ทางกระทรวงสาธารณสุขได้ระดมฉีดไปได้ประมาณ 1.35 ล้านโดส ถือว่าสูงที่สุดใน 1 วัน นับตั้งแต่การลงเข็มแรกช่วงเดือนกุมภาพันธ์

ย้อนกลับไปช่วงเดือนมิถุนายน หรือช่วงที่ไทย เริ่มต้นให้บริการวัคซีนแก่ประชาชนเป็นวงกว้าง ชั่วโมงนั้น ท่ามกลางการทำงานหนักของทีมสาธารณสุขไทยในทุกระดับ ตั้งแต่รัฐมนตรี ผู้บริหาร ไปถึงพนักงานเจ้าหน้าที่ ปรากฏว่าประเทศไทย มีกระแสดราม่ารายวันเกี่ยวกับการให้บริการวัคซีน

ทั้งการด้อยค่าวัคซีน การปล่อยข่าวลือ ข่าวลวง ทำลายความน่าเชื่อถือของวัคซีน ไปจนถึงรุมสับยันกระบวนการฉีด ถึงขั้นปล่อยข่าวว่าไทยฉีดน้ำเกลือ เพื่อเอายอด สั่นสะเทือนขวัญคนไทย ไปจนถึงคนทำงานเป็นอย่างยิ่ง ชั่วโมงนั้น กระทรวงสาธารณสุขเหมือนตำบลกระสุนตก ที่ไม่ว่าจะขยับไปท่าไหน ทางไหน ก็มีแต่เสียงวิจารณ์รายวัน

คนที่รับศึกหนักที่สุดหนีไม่พ้น นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคุณหมอ ซึ่งต้องออกมากางปีกปกป้องผู้ใต้บังคับบัญชาว่า “ถ้าจะลง ให้มาลงที่ผม ให้มาลงที่ผมคนเดียวพอ ให้ผู้ปฏิบัติงานได้ทำงานไป”

ตัวนายอนุทิน ชั่วโมงนั้นก็กระอักเลือด แต่ก็ได้กำลังใจจากพี่น้องร่วมกระทรวง ที่ยังเป็นแรงผลักดันกันต่อไป เพราะอย่าลืมว่านายอนุทิน กับกระทรวงคุณหมอ ก็ผูกพันกันไม่น้อย เนื่องจากในอดีต นายอนุทิน ก็เคยมาเป็นรัฐมนตรีที่กระทรวงนี้ มีความชอบพอกันในกระทรวงอยู่มากพอสมควร

และที่สำคัญ สำหรับนายอนุทินแล้ว มาจนถึงวันนี้ เขาก็นำทัพกระทรวงคุณหมอ จนสามารถตีโต้กลับโรคระบาดได้แล้ว สะท้อนผ่านสถานการณ์ในประเทศไทยที่ดีขึ้นตามลำดับ ทั้งในเรื่องการฉีดวัคซีน ยอดผู้ป่วย ที่ใกล้เหลือหลักพันเต็มที และผู้ป่วยอาการหนักที่ลดน้อยลง จนต้องปิดโรงพยาบาลบุษราคัมไปก่อนหน้านี้ 

กว่าจะผ่านคืนวันนั้นได้ ต้องบอกว่าไม่ใช่งานง่าย เพราะอย่างที่ทราบว่าการเมืองไทย เล่นกันแรง สิ่งหนึ่งที่ต้องขอชื่นชมกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด คือ เรื่องของใจที่ไม่ย่อท้อ และทำทุกวิถีทางเพื่อผลักดันงานใหญ่ไปข้างหน้า ตั้งแต่การเร่งหาวัคซีนเข้ามาเพิ่ม ไปจนถึงเสริมศักยภาพการให้บริการ ปัจจุบันนี้ ประเทศไทย ประสบความสำเร็จในการทำสัญญาซื้อวัคซีนแล้วประมาณ 140 ล้านโดส มากกว่าความต้องการประมาณ 20 ล้านโดส ขณะเดียวกันยังมีการนำวัคซีนเข้ามาเพิ่มจากโครงการสนับสนุนจากประเทศต่างๆ อย่างต่อเนื่อง

ในเรื่องของขีดความสามารถในการให้บริการ ประเทศไทย สามารถฉีดวัคซีนได้มากถึงวันละ 1 ล้านโดสแน่นอนแล้ว

เมื่อเจาะลึกลงไปตามแผนรายเดือน จะพบว่า ในเดือนก.ย. ประเทศไทย มีวัคซีนที่ฉีดโดยรัฐบาลจัดหาไม่ว่าจะเป็นซิโนแวค แอสตร้าเซนเนก้า และไฟเซอร์ ทั้งหมด 16 ล้านโดส และจะมีวัคซีนทางเลือกไม่ว่าจะเป็นซิโนฟาร์ม 10 ล้านโดส ทำให้ยอดผู้ฉีดวัคซีนมีค่อนข้างมาก

ส่วนเดือนต.ค.มีวัคซีนเข้ามาเป็นจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นซิโนแวคอย่างน้อย 6 ล้านโดส แอสตร้าเซนเนก้า 10 ล้านโดส ไฟเซอร์ 8 ล้านโดส ทำให้ยอดรวมที่ทางรัฐบาลจัดหามีอย่างน้อย 24 ล้านโดส และซิโนฟาร์ม 6 ล้านโดส

และ เมื่อดูที่จำนวนผู้ที่ได้รับการฉีด สังเกตได้ว่าสิ้นเดือน ก.ย.ตามแผนเราจะฉีดวัคซีนสะสมทั้งหมดเข็มแรก 32 ล้านคน หรือ 45% และเข็มสอง 18 ล้านคน หรือ 25% แต่หลังจากเดือนต.ค.-ธ.ค. การฉีดเข็ม1-2 จะเพิ่มขึ้น โดยในสิ้นเดือน ต.ค. ความครอบคลุมในการฉีดเข็มแรกอย่างน้อย 41 ล้านคน หรือ 58% ของประชากรคนไทย และในเดือนพ.ย.ฉีดสะสมให้กับคนที่อยู่ในแผ่นดินไทยไม่ว่าจะชาวไทย หรือต่างชาติ 71 ล้านคน และในสิ้นเดือนธ.ค.มีคนไทย 60 ล้านคน ที่ได้รับวัคซีนคิดเป็น 85% ส่วนตัวเลขเข็มสองเดือนต.ค. 30 ล้านคน หรือ45% เดือนพ.ย 42 ล้านคน หรือ 60% และสิ้นเดือนธ.ค. 52 ล้านคน หรือ 74%

ส่วนสำคัญของความสำเร็จมา จากการปรับนโยบายการฉีดวัคซีนเป็นสูตรไขว้ เป็นซินโนแวคเข็มแรก และ แอสตร้าเซนเนก้า ทำให้เราครอบคลุมการฉีดวัคซีนเข็มสองได้มากขึ้น ต้องขอบคุณคณะนักวิชาการไทยทุกท่านที่ระดมสมองหาทางออกให้กับประเทศ

ทุกวันนี้ เราไม่ได้ยินคำว่าระบบไทยล่มสลายแล้ว ซึ่งอันที่จริงคำนี้ ก็อาจเป็นเพียงวาทกรรมทางการเมือง แต่สิ่งที่เราเห็นคือ การรุกคืบของชาวสาธารณสุข กระชับพื้นที่โรคระบาด ในการขอคืนพื้นที่รอยยิ้มให้กับคนไทย ด้วยทุ่มเทแรงกาย แรงใจ พาคนไทยให้พ้นจากโควิด 19






กำลังโหลดความคิดเห็น