รองโฆษกรัฐบาล เผย ครม.อนุมัติงบกลาง 427.17 ล้านบาท ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทย เพื่อใช้จ่ายการเยียวยาปัญหาการขาดแคลนตู้สินค้า พร้อมรับทราบการเคหะฯลดค่าเช่าให้ผู้เช่า บรรเทาผลกระทบโควิด-19
วันนี้ (21 ก.ย.) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 21 ก.ย. 2564 ได้อนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นวงเงิน 427.17 ล้านบาท เพื่อให้การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) นำไปใช้จ่ายในการเยียวยาการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนตู้สินค้า
ทั้งนี้ การดำเนินการเยียวยาดังกล่าว เป็นไปตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการให้มีการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนตู้สินค้าในช่วงเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จูงใจให้มีการนำตู้สินค้าเปล่าเข้ามาในประเทศไทยเพื่อบรรจุสินค้าส่งออก เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกของประเทศในช่วงที่ภาคการส่งออกกำลังฟื้นตัว
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า กทท. ได้ดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนตู้สินค้าเป็นระยะเวลา 3 เดือน ระหว่างเดือน ม.ค.- มี.ค. 2564 โดยการปรับลดค่าภาระตู้สินค้าเปล่าขาเข้าผ่านท่าเรือ 2 แห่ง ในอัตรา 1,000 บาทต่อทีอียู ประกอบด้วย
ท่าเรือกรุงเทพ ระหว่างเดือน ม.ค.-มี.ค. 2564 มีปริมาณตู้สินค้าเข้า 5,087.25 ทีอียู ใช้วงเงินสนับสนุน 5.08 ล้านบาท และท่าเรือแหลมฉบัง ระหว่างเดือน ม.ค.-มี.ค. 2564 มีปริมาณตู้สินค้าเข้า 422,085.25 ทีอียู ใช้วงเงินสนับสนุน 422.08 ล้านบาท รวมท่าเรือ 2 แห่ง มีปริมาณตู้สินค้าเข้า 427,172.50 ทีอียู วงเงินสนับสนุนรวม 427.17 ล้านบาท
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบมาตรการปรับลดค่าเช่าในโครงการของการเคหะแห่งชาติให้กับผู้เช่าที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม-31 ธันวาคม 2564 โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้คือ
กลุ่มผู้เช่ารายย่อย (เช่าเหมา) และกลุ่มผู้เช่ารายย่อย (เดิม) ได้กำหนดมาตรการลดค่าเช่า โดยค่าเช่าอาคาร/อาคารพร้อมที่ดิน ที่มีราคาค่าเช่าตั้งแต่ 999 บาทขึ้นไป ให้ปรับลดเป็นราคา 999 บาท ส่วนราคาค่าเช่าที่ต่ำกว่า 999 บาท ให้ปรับลดราคาร้อยละ 50 ของราคาค่าเช่าเดิม
ส่วนกลุ่มเช่าจัดประโยชน์ในโครงการของการเคหะแห่งชาติ กำหนดมาตรการปรับลดค่าเช่าเป็นเวลา 2 เดือน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม-31 กันยายน 2564 โดยปรับลดค่าเช่าตามสัดส่วนของผลกระทบที่ได้รับในอัตราร้อยละ 30 และร้อยละ 50 เช่น แผงร้านค้ารายย่อยปรับลดค่าเช่าร้อยละ 50 เป็นเวลา 2 เดือน ผู้ประกอบการเช่าเหมาบริหารตลาด ปรับลดค่าเช่าร้อยละ 30 เป็นเวลา 2 เดือน กลุ่มสัญญาผู้ประกอบการรายใหญ่ (พลาซ่า) ปรับลดค่าเช่าร้อยละ 30 และกำหนดให้พลาซ่าปรับลดค่าเช่าให้ผู้เช่ารายย่อยร้อยละ 30 เป็นเวลา 2 เดือนเช่นกัน
สำหรับประโยชน์ที่จะได้รับ จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจำนวน 42,666 ครัวเรือน ประชาชนได้รับประโยชน์จำนวน 127,998 คน ช่วยลดค่าครองชีพประชาชนจำนวน 139 ล้านบาท