กทท.เผย 9 เดือนปี 64 มีกำไรสุทธิ 4,849 ล้านบาท ตู้สินค้าผ่านท่าเรือกรุงเทพ และแหลมฉบัง 83.011 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 1.79% จากอัตราการส่งออกของไทยที่เติบโตและปัจจัยหนุนจากเศรษฐกิจยุโรป จีน และอเมริกาเริ่มฟื้นตัว
เรือโท กมลศักดิ์ พรหมประยูร ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในการให้บริการเรือ สินค้า และตู้สินค้าผ่านท่าเรือกรุงเทพ (ทกท.) ท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน (ทชส.) ท่าเรือเชียงของ (ทชข.) และท่าเรือระนอง (ทรน.) ในช่วงระยะเวลา 9 เดือน ประจำปีงบประมาณ 2564 (ตุลาคม 2563-มิถุนายน 2564) โดยเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่า
ท่าเรือกรุงเทพ มีเรือเทียบท่า 3,020 เที่ยว เพิ่มขึ้น 3.17% สินค้าผ่านท่า 16.199 ล้านตัน ลดลง 0.07% ตู้สินค้าผ่านท่า 1.098 ล้านทีอียู เพิ่มขึ้น 1.43%
ท่าเรือแหลมบัง มีเรือเทียบท่า 7,167 เที่ยว ลดลง 6.26% สินค้าผ่านท่า 66.812 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 2.26% ตู้สินค้าผ่านท่า 6.204 ล้านทีอียู เพิ่มขึ้น 6.94%
ท่าเรือเชียงแสน มีเรือเทียบท่า 1,777 เที่ยว ลดลง 16.29% สินค้าผ่านท่า 76,230 ตัน ลดลง 45.09% ตู้สินค้าผ่านท่า 4,269 ทีอียู ลดลง 36.49%
ท่าเรือเชียงของ มีเรือเทียบท่า 4 เที่ยว ลดลง 97.24% สินค้าผ่านท่า 24 ตัน ลดลง 99.06%
ท่าเรือระนอง มีเรือเทียบท่า 183 เที่ยว ลดลง 7.10% สินค้าผ่านท่า 94,707 ตัน เพิ่มขึ้น 20.17% ตู้สินค้าผ่านท่า 3,044 ตู้ เพิ่มขึ้น 18.26%
ผลการดำเนินงานของ กทท.ในรอบ 9 เดือน (ตุลาคม 2563-มิถุนายน 2564) มีเรือเทียบท่าที่ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง รวม 10,187 เที่ยว ลดลง 3.65% สินค้าผ่านท่า 83.011 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 1.79% และตู้สินค้าผ่านท่า 7.301 ล้านทีอียู เพิ่มขึ้น 6.079% คิดเป็นกำไรสุทธิ 4,849 ล้านบาท
ผลการดำเนินงานของ กทท.มีทิศทางการฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะด้านการดำเนินงานให้บริการสินค้าและตู้สินค้าผ่านท่ามีอัตราสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา ในขณะที่การให้บริการเที่ยวเรือลดลง เป็นผลมาจากขนาดเรือที่เข้าเทียบท่ามีขนาดใหญ่ขึ้นหรือมีการขนตู้สินค้าต่อลำเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ การเติบโตของตู้สินค้าผ่านท่าที่ปรับตัวดีขึ้นเกิดจากอัตราการส่งออกของไทยที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ เช่น สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักสำคัญของไทยที่เริ่มฟื้นตัว ทั้งสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยเฉพาะเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้การจ้างงานเติบโตอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ขณะที่การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในสหภาพยุโรปส่งผลให้ภาคงานบริการฟื้นตัวมากขึ้น