xs
xsm
sm
md
lg

ยกศาลตัดสิน “โกง” ตบหน้า “ทักษิณ” จับไต๋ มูลนิธิ “ธนาธร” ส่อหมิ่นสถาบัน “แอมมี่” แฉ “พท.” น้ำเลี้ยง “สามนิ้ว”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ ยกศาลตัดสิน “โกง” ตบหน้า “ทักษิณ” ขอบคุณภาพจากเพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH
จับได้ไล่ทัน! “ทักษิณ” เงิบ! ยกคำตัดสินศาลฯ 15 ปี ถ้าไม่มีรัฐประหาร ปท.หายนะมากกว่านี้ เพราะคนโกง? ชัดเจน มูลนิธิ “ธนาธร” วัตถุประสงค์ หมิ่นสถาบัน? “แอมมี่” แฉ “พท.” ให้เงิน “สามนิ้ว” ก้าวไกล ขี้เหนียว แค่ช่วยประกัน

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (20 ก.ย. 64) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น “ทักษิณ” หงายเงิบ! 15 ปี ถ้าไม่มีรัฐประหาร - ปท.จะหายนะมากกว่านี้เพราะคนโกง?

โดยระบุว่า จากกรณีวานนี้ (19 ก.ย. 64) นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความลงทวิตเตอร์ แสดงความเห็นเนื่องในโอกาสครบ 15 ปี การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ระบุว่า

“15 ปีที่แล้วของวันนี้ คือ วันที่โอกาสประเทศไทยและคนไทยในสังคมโลกยุคใหม่สูญเสียไปอย่างมากและต่อเนื่อง เพราะการนำประเทศถอยหลังด้วยระบบเผด็จการที่โลกทัศน์คับแคบ ห่วงแต่สถานภาพตัวเอง แต่ซ่อนรูปอยู่ในคำว่า รักชาติและรักสถาบัน บัดนี้ถูกพิสูจน์แล้วว่า เผด็จการต้องยุติและคืนประชาธิปไตยให้กับประเทศชาติและประชาชนได้แล้ว การรัฐประหารโดยทหารและตุลาการ คือหายนะของประเทศ”

ขณะที่ เมื่อย้อนไปเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 ซึ่งเป็นวันพิพากษายึดทรัพย์ ทักษิณ ชินวัตร 4.6 หมื่นล้าน บาท ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งยึดทรัพย์ พ.ต.ท.(ยศขณะนั้น) ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยชี้ให้เห็นว่า

คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภรรยา มีส่วนเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจ และการแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ตลอดมา โดยผลประโยชน์จากการขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ป มาจากการปฏิบัติหน้าที่มิชอบ จึงไม่อาจอ้างว่าเป็นสินสมรส จึงมีอำนาจสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินได้ด้วย

ตามกฎหมาย ป.ป.ช. การยึดทรัพย์ทำได้ 2 กรณี คือ ทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นผิดปกติ กับกรณีร่ำรวยผิดปกติโดยได้ทรัพย์สินมาไม่สมควร กรณีนี้เข้าข่ายร่ำรวยผิดปกติโดยได้ทรัพย์สินมาไม่สมควร และให้ยึดทรัพย์โดยอิงราคาหุ้นชินคอร์ป ที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 7 ก.พ. 2544 ซึ่งเป็นวันที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกฯสมัยแรก บวกดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน 4.6 หมื่นล้านบาท

โดย นายฉัตรทิพย์ ตัณฑประศาสน์ ทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นำเอกสารหลักฐาน กว่า 246 หน้า เดินทางมายังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อยื่นคำร้องอุทธรณ์คัดค้านคดียึดทรัพย์ 46,000 ล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว

ต่อมา ศาลฎีกามีคำวินิจฉัย ถึงกรณีการซื้อขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในปี 2549 แจ้งถึงเอกสารเลขที่ สภ.3 (อธ.3)/309/2563 เป็นผลการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ที่ได้พิจารณาอุทธรณ์ของนายทักษิณ ชินวัตร ฉบับลงวันที่ 25 เม.ย. 2560

โดยคำวินิจฉัยนี้ แยกย่อยออกมาเป็นหลายประเด็น โดยมี นายพงษ์ศักดิ์ เมธาพิพัฒน์ ผู้แทนอธิบดีกรมสรรพากร นายประภาส สนั่นศิลป์ ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด นายพิสิทธิ์ ศรีวรานันท์ ผู้แทนกรมการปกครอง ร่วมลงนามในคำวินิจฉัย เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2563 โดยคำวินิจฉัย ระบุว่า

ให้ยกอุทธรณ์ซึ่งคัดค้านการประเมินของเจ้าพนักงาน ลงวันที่ 28 มีนาคม 2560 เป็นเงินทั้งสิ้น 17,629,585,191.00 (หนึ่งหมื่นเจ็ดพันหกร้อยยี่สิบเก้าล้านห้าแสนแปดหมื่นห้าพันหนึ่งร้อยเก้าสิบเอ็ดบาทถ้วน) ให้ผู้อุทธรณ์นำเงิน ภาษีเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ไปชำระ ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาบางพลัด กรุงเทพมหานคร เป็นเงิน 17,629,585,191.00 บาท 00 สตางค์(หนึ่งหมื่นเจ็ดพันหกร้อยยี่สิบเก้าล้านห้าแสนแปดหมื่นห้าพันหนึ่งร้อยเก้าสิบเอ็ดบาทถ้วน) ภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับคำวินิจฉัยอุทธรณ์นี้ พร้อมทั้งเงินเพิ่มตามกฎหมาย โดยคำวินิจฉัยอุทธรณ์นี้ทำไว้สองฉบับ เก็บไว้ที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หนึ่งฉบับ ส่งให้ผู้อุทธรณ์หนึ่งฉบับ ลงวันที่ 1 กันยายน 2563

ในคำวินิจฉัยยังระบุอีกว่า ประเด็นของดหรือลดเบี้ยปรับตามมาตรา 22 แห่งประมวลรัษฎากร พิจารณาแล้วเห็นว่า ตามพฤติการณ์ผู้อุทธรณ์เป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปที่แท้จริงที่ต้องเสียภาษีอากร แต่ให้นายพานทองแท้ และ นางสาวพินทองทา เป็นตัวแทนเชิดในการซื้อหุ้นชินคอร์ป จากแอมเพิลริชฯ นอกตลาดหลักทรัพย์ ในราคาต่ำกว่าราคาตลาด จึงมีเจตนาไม่สุจริตเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงภาษีอากร และทำให้รัฐเสียประโยชน์ จึงไม่งดหรือลดเบี้ยปรับ

อย่างไรก็ตาม นายทักษิณ ยังมีคดีติดตัวอยู่หลายคดี โดยถูกฟ้องศาลฎีกาฯคดีนักการเมืองรวมจำนวน 8 คดี ในจำนวนนี้มี 4 คดี คดีถึงที่สุด มีบทลงโทษ ได้แก่

1. คดีร่ำรวยผิดปกติยึดทรัพย์จำนวน 4.6 หมื่นล้านบาท คดีถึงที่สุดโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาฯไม่อนุญาตอุทธรณ์

2. คดีทุจริตออกสลากพิเศษเลขท้าย 2 ตัว และ 3 ตัว (หวยบนดิน) จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญาคดีถึงที่สุด ออกหมายจับ (อุทธรณ์ไม่ได้)

3. คดีปล่อยเงินกู้เอ็กซิมแบงก์ให้เมียนมา จำคุก 3 ปี ไม่รอลงอาญา คดีถึงที่สุด-ออกหมายจับ (อุทธรณ์ไม่ได้)

4. คดีแก้ไขค่าสัมปทานโทรศัพท์มือถือเอื้อชินคอร์ป จำคุก 5 ปี ไม่รอลงอาญา คดีถึงที่สุด ออกหมายจับ (อุทธรณ์ไม่ได้)

โดย 2 คดี คือ คดีทุจริตซื้อขายที่ดินย่านรัชดาภิเษก จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา แต่คดีนี้ขาดอายุความไปแล้ว เพราะหนีคดีเกิน 10 ปี และอีกคดี จงใจยื่นบัญชีแสดงทรัพย์สินหนี้สินเป็นเท็จ จำหน่ายคดีออกจากสารบบความและออกหมายจับ

และอีก 2 คดี (คดีถึงที่สุดยกฟ้อง) คือ 1. คดีบริหารแผนฟื้นฟูทีพีไอมิชอบ คดีนี้ศาลยกฟ้องและคดีถึงที่สุดเนื่องจากองค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์พิพากษายืนยกฟ้อง ส่วนอีกคดี คือ คดีปล่อยเงินกู้กรุงไทยให้เครือกฤษดานคร ศาลยกฟ้อง คดีถึงที่สุดเนื่องจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาไม่อนุญาตให้อุทธรณ์

ภาพ มูลนิธิ “คณะก้าวหน้า” วัตถุประสงค์ ส่อหมิ่นสถาบัน? ขอบคุณภาพจากเพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH
ขณะเดียวกัน THE TRUTH ยังโพสต์ประเด็น มหาดไทย ได้อ่านไหม? ตั้งข้อสงสัย “ธนาธร” เปิดมูลนิธิ วัตถุประสงต์หมิ่นเหม่ให้ร้ายสถาบันฯ?

เนื้อหาระบุว่า หลังจากเมื่อวันที่ 16 ก.ย. 64 ที่เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศนายทะเบียนมูลนิธิ กรุงเทพมหานคร เรื่อง จดทะเบียนจัดตั้ง “มูลนิธิคณะก้าวหน้า”

โดยประกาศดังกล่าว มีใจความว่า ด้วย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิคณะก้าวหน้า ต่อนายทะเบียนมูลนิธิกรุงเทพมหานคร โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมการศึกษา วิจัย ด้านสังคมศาสตร์ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และอื่นๆ ส่งเสริมการแปลหนังสือภาษาต่างประเทศเป็นภาษาไทย เผยแพร่ความรู้หรือผลงานการศึกษาวิจัยด้านสังคมศาสตร์ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และอื่นๆ ให้แพร่หลายแก่ประชาชน

ส่งเสริมเยาวชนคนรุ่นใหม่ให้ดำเนินกิจกรรมค่ายศึกษาอบรมเกี่ยวกับการเสริมสร้างค่านิยมประชาธิปไตย ส่งเสริมและให้ทุนการศึกษาแก่เยาวชนที่ยากไร้ ส่งเสริมและสนับสนุนการสังคมสงเคราะห์ที่เกี่ยวกับการช่วยเหลือผู้สูงอายุคนพิการ และผู้ด้อยโอกาส ส่งเสริมและสนับสนุนกิจกรรมการกีฬาทุกประเภท

ทรัพย์สินของมูลนิธิมีทุนแรกเริ่มเป็นเงินสด จำนวน 500,000 บาท (ห้าแสนบาทถ้วน) และมีคณะกรรมการดำเนินงานดังรายนามต่อไปนี้

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานกรรมการ
นายชํานาญ จันทร์เรือง รองประธานกรรมการ
นายพงศกร รอดชมภู รองประธานกรรมการ
นายสุรชัย ศรีสารคาม รองประธานกรรมการ
นายปิยบุตร แสงกนกกุล กรรมการ
นางสาวพรรณิการ์ วานิช กรรมการ
นายเดชรัต สุขกําเนิด กรรมการ
นายสุนทร บุญยอด กรรมการ
นายชัน ภักดีศรี กรรมการ
นายเจนวิทย์ ไกรสินธุ์ กรรมการ
นายไกลก้อง ไวทยการ กรรมการ
นางสาวเยาวลักษณ์ วงษ์ประภารัตน์ กรรมการและเหรัญญิก
นางสาวกุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ กรรมการและเลขานุการ

นายทะเบียนมูลนิธิกรุงเทพมหานคร มีคําสั่งรับจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิรายนี้แล้ว เลขทะเบียน ลําดับที่ กท 3181 ตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2564 ฉะนั้น อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 115 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน

ภาพ เป็นที่สังเกต วัตถุประสงค์ข้อ 2.8 ขอบคุณภาพจากเพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH
ทั้งนี้ ในประกาศฉบับเต็ม ในข้อที่ 2.8 ได้มีการระบุว่า เพื่อส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขด้วยความเป็นกลาง และไม่ให้การสนับสนุนด้านการเงินหรือทรัพย์สินแก่นักการเมืองหรือพรรคการเมืองใด ซึ่งน่าตั้งข้อสังเกตว่า ในข้อนี้วัตถุประสงค์มีความชัดเจนที่ผิดตามมาตรา 112 มีความหมิ่นเหม่ในการตั้งวัตถุประสงค์ แต่ได้รับให้จดทะเบียนตั้งมูลนิธิได้ โดยหน่วยงานที่เข้ามาเกี่ยวข้อง คือกระทรวงมหาดไทย

อีกทั้งที่ผ่านมา นายธนาธร, นายปิยบุตร และ นางสาวพรรณิการ์ ได้ออกตัวเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 มาโดยตลอด และมีการโพสต์ เอ่ยพาดพิงสถาบันมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเมื่อมายื่นจดทะเบียนตั้งมูลนิธิ ยังมีการตั้งวัตถุประสงค์ที่มีความเกี่ยวเนื่องโยงพาดพิงสถาบันฯอีก จนทำให้น่าสงสัยว่า เหตุใดนายทะเบียนกทม. และกระทรวงมหาดไทย จึงปล่อยผ่านเรื่องนี้จนได้มีการประกาศจัดตั้งอย่างเป็นทางการออกมา

ที่น่าสนใจแพ้กัน นายไชยอมร แก้ววิบูลพันธุ์ หรือ แอมมี่ เดอะบอตทอมบลูส์ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า

“ผมไม่สนหรอก ก้าวไกลหรือเพื่อไทย เรื่องการเมืองมันซับซ้อน และตลกดีนะ ในขณะเค้าทะเลาะกันมีนักศึกษาคนนึง ผู้ที่เชื่อในอุดมการณ์ติดคุกเพราะกล้าพูดความจริง แทนความในใจของผู้ถูกกดขี่ทั้งหลายที่ไม่เคยแม้แต่จะกล้าส่งเสียงในที่แจ้ง หนุ่มน้อยคนนี้ ชื่อ เพนกวิน พริษฐ์ ชิวารักษ์

ผมไม่ได้เชียร์ก้าวไกลนะ แต่ผมเคยถามกวิ้นว่า มึงจะลงเล่นการเมืองใช่มั้ย? กวิ้น มันตอบว่า ไม่เคยคิดเลยพี่ ผมอยากเป็นอาจารย์สอนประวัติศาสตร์ล้านนา นั้นคือ ความฝันผม ผมถามต่อว่าแล้วนักการเมืองที่มึงชอบอะ ตอนนี้มีใคร มีไหม? มันตอบว่า พี่เจี้ยบ อมรัตน์

สำหรับผมการเรียกร้องครั้งนี้มันมีค่ามากกว่า ผลประโยชน์นานาประการ โควตา ส.ส. ที่ใช้ในการประกันตัว ต้องยกให้ก้าวไกล แต่ก้าวไกลก็ขี้เหนียว กลับกันเป็นเพื่อไทยที่สู้ไปกราบไป ที่คอยสนับสนุนเงินทุนบ้าง

ภาพ นายไชยอมร แก้ววิบูลพันธุ์ หรือ แอมมี่ ขอบคุณภาพจากสยามรัฐออนไลน์
บทความนี้อาจดูดิบไปหน่อย ไม่มีแหล่งอ้างอิง และ เชื่อถือไม่ได้ให้คิดว่าเป็น นิทานเรื่องนึง แต่ผมแค่จะบอกว่า คนจริงอยู่ที่ไหนก็ได้ ไม่เกี่ยวกับนโยบายของสังกัด เพราะ การใช้โควตาประกันตัวเด็ก มันคือเรื่องของความเป็น “มนุษย์” และถึงไม่มีเงินทุนสนับสนุน หรือโควตา ส.ส. ที่ใช้ประกันตัว ผมไม่สนใจ พวกผมสู้ด้วยใจและอยากเห็นอนาคตที่ดีกว่า เพื่อมวลชน มันบริสุทธิ์มากกว่าทุกสิ่ง #ปล่อยเพื่อนกู 🕊”

อย่างไรก็ตาม ล่าสุด “แอมมี่” ได้ลบโพสต์แล้ว

แน่นอน, เป็นอีกครั้งที่ “ทักษิณ” ฉวยโอกาสโหนกระแสม็อบต่อต้านรัฐประหาร หรือ มีขบวนการโค่นล้มอำนาจเผด็จการออกมาต่อสู้ โยนบาปตัวเอง ให้กับรัฐประหาร 49

แต่สิ่งที่ “ทักษิณ” ไม่ยอมพูดถึงเลย ก็คือ คดีทุจริตของตัวเองจำนวนมากในขณะนั้น จนทำให้ประชาชนทั่วประเทศลุกฮือขึ้นมาต่อต้าน และส่วนใหญ่ เป็นชนชั้นกลางที่มีความรู้สูง รู้เท่าทันการทุจริตเชิงนโยบายเป็นส่วนใหญ่ด้วย

และต่อมาศาลฯ ก็ได้พิพากษาตามพยานหลักฐานจนถึงที่สุดหลายคดี ว่าผิดจริง และมีโทษแตกต่างกันออกไป นั่น ไม่เกี่ยวกับว่ามีใครกลั่นแกล้งรังแกทางการเมืองเลย เป็นเรื่องทุจริตล้วนๆ ซึ่งเจ้าตัวก็คงจะรู้ชะตากรรมอยู่แก่ใจ จึงได้หลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ

เรื่อง มูลนิธิของ “ธนาธร” นับเป็นความกล้าหาญและท้าทายอย่างยิ่ง เพราะดูเหมือนเป็นข้ออ้างประชาธิปไตยที่หมกเม็ด “ปฏิรูปสถาบันฯ” อย่างเห็นได้ชัด

อย่าลืมว่า ที่ผ่านมา นายธนาธรและพวก น่าจะได้บทสรุปแล้วว่า คนไทยส่วนใหญ่ ยังมีความจงรักภักดี และไม่พร้อมที่จะให้มีการปฏิรูปสถาบันฯ เห็นได้จากการเลือกตั้งท้องถิ่นที่คณะก้าวหน้าแพ้หมดรูป

อีกอย่าง แนวคิดปฏิรูปสถาบันฯ ก็ยังขยายผลได้ในวงที่จำกัด ดังนั้น การมีมูลนิธิขึ้นมา เพื่อให้การศึกษา อบรม เผยแพร่แนวความคิด ควบคู่ไปกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองทั้งในและนอกสภา จึงเป็นเรื่องที่ต้องทำ ถ้าต้องการให้อุดมการณ์ของพวกเขาแทรกซึมความคิดคนไทยได้

แต่ที่ดูหมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นเบื้องสูง ก็คือ การกำหนดวัตถุประสงค์ที่ก้าวล่วงเข้าไปพาดพิงสถาบันฯเอาไว้ก่อน ระบุความต้องการที่จะทำให้เกิดขึ้นเสร็จสรรพ อันเท่ากับว่า นี่คือ ความมุ่งหวังที่ซ่อนอยู่อย่างแท้จริงหรือไม่

สุดท้าย ไม่ว่า “แอมมี่” จะหลุด หรือ จงใจพูดเรื่องนี้ก็ตาม แต่ก็แทบไม่ต้องสงสัย ในสิ่งที่หลายคนตั้งคำถาม ว่าใครสนับสนุนเงินทุนให้ม็อบสามนิ้ว นอกจากนักการเมืองบางคณะ และบางพรรคที่ชัดเจนอยู่แล้ว คราวนี้ถือว่าชัดเจนทั้งหมด?

อย่างนี้ก็อยู่ที่คนไทยจะตัดสินใจแล้ว


กำลังโหลดความคิดเห็น