สั้นๆ “สมศักดิ์ เจียมฯ” มองทะลุ “ทักษิณ” เดินยุทธศาสตร์ผิด หนุน “ธรรมนัส” ท้าทาย “บิ๊กตู่” ทั้งเคยวิเคราะห์ดีลนี้ “น้ำเน่า” มาแล้ว “พงศ์พรหม” สมน้ำหน้าผู้หญิงคนหนึ่ง ห้ามโยง เวรกรรมมาทวงคืน “พิธา” ลั่นสู้บัตร 2 ใบ
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (10 ก.ย. 64) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น “สมศักดิ์ เจียมฯ” อ่านเกม “ทักษิณ” เดินยุทธศาสตร์ผิด หนุน “ธรรมนัส” ท้าทาย “บิ๊กตู่” สุดท้ายกินแห้วทั้งคู่!
โดยระบุว่า สืบเนื่องจากกรณีสุดร้อนแรง หลังจาก ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ แถลงข่าวที่รัฐสภา ขอลาออกจากตำแหน่ง โดยยื่นหนังสือลาออกถึง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
และต่อมา ได้มีราชกิจจานุเบกษา พระบรมราชโองการ ประกาศให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี 2 คน คือ
1. ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
2. นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน
ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว เป็นการสั่งปลดตาม ม.171 โดยมีรายละเอียดประมาณว่า
“นายกรัฐมนตรีได้กราบบังคมทูลว่า สมควรให้รัฐมนตรีบางคนพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
เพื่อความเหมาะสมและบังเกิดประโยชน์แก่ราชการ
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 171 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรง
พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รัฐมนตรีดังต่อไปนี้พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี”
ด้าน นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อดีตอาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ต้องหาใน ม.112 ซึ่งลี้ภัยอยู่ในฝรั่งเศส ได้ทวิตข้อความระบุว่า
“ประยุทธ์ยังครองความเป็นใหญ่ ธรรมนัสที่คิดจะท้าทาย ต้องตกกระป๋องไป ทักษิณที่คิดทางยุทธศาสตร์ ไม่โจมตีธรรมนัสเรื่อยมา รับประทานแห้ว”
ความจริง นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ได้พูดถึง “ทักษิณ” หลายครั้ง ต่างกรรมต่างวาระ แต่ล้วนสะท้อนให้เห็นตัวตนที่แท้จริง
กล่าวคือ 4 ก.ย. 64 นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า
“เรื่องนี้จะจบยังไง ยังต้องรอดูกันต่อไป แต่ในที่นี้อยากทบทวนว่า เหตุที่ ทักษิณ-เพื่อไทย ไม่โจมตีธรรมนัส (ทักษิณยังพูดถึงค่อนข้างดี) มาจากเหตุนี้เอง จะเรียกว่า “ดีล” หรือไม่ ไม่สำคัญเท่าไร (ที่ผมเคยบอกไปว่า อาจเรียกเป็น “ดีล” อย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะตกลงไว้ก่อนหรือไม่อย่างไร) ทักษิณเรียกเองว่า เป็นการคิดทาง “ยุทธศาสตร์” (ซึ่งผมว่า เป็นการใช้ภาษาที่ผิด) สำหรับการเมืองไทยและสำหรับทักษิณ อย่างน้อยตั้งแต่ปี 2549 เราได้เห็นเป็นประจำ ภาษาชาวบ้านเรียกเป็น “ดีล” บ้าง อย่างอื่นบ้าง หรือเรียกรวมๆ ว่า “น้ำเน่า”
น่าเสียดาย ที่เห็นๆ ชาวบ้านออกมาภายใต้การนำของณัฐวุฒิ ความเรียกร้องต้องการของคนส่วนใหญ่เป็นความเรียกร้องต้องการที่บริสุทธิ์ แต่ภายใต้การกระทำที่ออกจะชอบกล”
ก่อนหน้านี้ 4 ส.ค. 64 นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ย้อนความจำว่า
“ความหลัง วันพิลึก
วันนั้นเป็นวันที่ 13 กรกฎาคม 2556 ผมรับปากว่า จะขึ้นพูดในวันถัดมา 14 กรกฎาคม ที่เวทีหน้าเรือนจำคลองเปรม ตอนสายๆ อ.หวาน ก็โทร.มาถามข่าวคราวและยืนยันรายการวันรุ่นขึ้น ผมก็คุยว่าพรุ่งนี้จะพูดเรื่องอะไร ความจริงผมไม่ต้องบอกก็ได้ แต่ก็บอกตามธรรมดาของคนจะพูด.....
ตอนนั้น ข่าวหนังสือพิมพ์มีเรื่องฮือฮาคือ “ผู้จัดการ” ลงเทปลับบทสนทนาของทักษิณกับคนใกล้ชิด ในระหว่างสนทนา มีการแสดงออกอย่างชัดเจนเรื่องกลับเมืองไทย......
ผมก็บอก อ.หวาน ไปว่า ผมจะพูดเรื่องเทปลับนี้ โดยหยิบประเด็นเรื่องกลับเมืองไทยมาวิจารณ์ว่า ไม่ถูกต้อง ควรที่จะคิดถึงคนเสื้อแดงที่ติดคุกก่อน ให้พวกเขาได้ออกจากคุกก่อน หาทางช่วยพวกเขาให้ได้ก่อน
ปรากฏว่า ผมตกใจมาก เพราะไม่นึกว่า อ.หวาน จะแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างมาก คุยกันอยู่นาน ก็ไม่เห็นด้วย อ.หวาน ยืนยันว่า ไม่พูดได้ไหมประเด็นวิจารณ์ทักษิณนี้ คุยกันอยู่นานก็ไม่ลงเอย.....
ผมก็ยืนยันว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าไม่ให้ผมพูดวิจารณ์ทักษิณ ผมก็ไม่พูดเลย สุดท้าย อ.หวาน ให้ “ไม้หนึ่ง” โทร.มาคุยกับผม และยอมว่า ให้ผมขึ้นพูดก็ได้ แต่จะไม่มีใครขึ้นแนะนำตัว ให้ผมขึ้นไปเฉยๆ ผมก็ตกลง
ตอนหลังผมจึงรู้ว่า พวกเวทีต่างๆ นั้น พูดอะไรก็ได้ วิจารณ์พรรคเพื่อไทยก็ได้ แต่ห้ามอยู่อย่างเดียว ห้ามวิจารณ์ทักษิณ” (ช่วงนั้นกลุ่มคนล้มเจ้าต้องการอาศัยฐานการเมือง ฐานคนเสื้อแดง ของทักษิณ)
ขณะเดียวกัน THE TRUTH ยังโพสต์ ประเด็น “พงศ์พรหม” ซัดเดือด สมน้ำหน้า เวรกรรมมาทวงคืน หญิงที่ชอบทรยศคนรอบข้าง
เนื้อหาระบุว่า สืบเนื่องจากกรณีปลด “สองรัฐมนตรี” ดังกล่าวข้างต้น
สำหรับ นายพงศ์พรหม ยามะรัต รองหัวหน้าพรรคกล้า ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Pongprom Yamarat ระบุว่า
“ขอพูดถึงความในใจถึง “คนโดนไล่ออก”
สิ่งที่ผมเห็นคือ “กฏแห่งกรรมมีจริง” แล้วผมไม่ได้พูดถึง “ผู้ชาย” นะครับ ผมพูดถึง “ผู้หญิงคนนึง” ผมว่า “ผู้ชาย” เป็นนักการเมือง ก็ต้องว่ากันไปตามเกมการเมือง แบบไทยๆไป ที่ผมเองก็ไม่เห็นด้วยนัก แต่ “ผู้หญิงคนนึง” นี่สิครับ ที่ผม “ถอนหายใจ” และ “อโหสิกรรม” ให้
เน้นนะครับ ผมไม่ได้พูดถึงใครเป็นพิเศษ ผมแค่พูดถึงผู้หญิงคนนึงที่ชอบ “หักหลัง” และ “เหยียบหัว” พวกพ้อง แค่ให้ตัวเองเป็นใหญ่ ปกติผมไม่ว่าใครเป็นการส่วนตัวบนโซเชียลมีเดีย แต่ผมเคยพูดถึง “ผู้หญิง” คนนี้มาแล้วครั้งนึง ผู้หญิงคนนึงที่ชอบทรยศคนรอบข้าง โจรเดินมาแล้วบอกว่าโจร ผมรับได้ คนดีเดินมาบอกว่าจะไม่ทำชั่ว ก็ยิ่งดี ทำงานไป ขอเงินไป ผมโอเคนะ คนต้องอยู่ต้องกิน ขอแค่โปร่งใส พูดตรงๆ
แต่คนเดินมา พูดอย่างทำอย่าง กูอยากดีอยากเด่น ไม่สนหัวใครถ้าไม่ใหญ่โต คนเก่ง คนดี คนไม่มีเงิน กูไม่เห็นหัว ยิ่งคนจนนี่ ไม่เห็นในสายตา นั่งประชุมกัน ถ้าไม่จบ Harvard ถ้าไม่ใช่นายพล ถ้าไม่ใช่เจ้าของธุรกิจพันล้าน กูไม่ยิ้ม กูไม่ฟัง กูไม่สนหัว แต่ถ้าใหญ่โตมา ท่าทางมีผลประโยชน์ให้ กูพร้อมจะเอาดีกรีนักวิชาการไปหลอกประจบสอพลอเพื่อความก้าวหน้าตัวเอง
แทงหลังคนมีบุญคุณ ทรยศสิ่งที่บอกว่าจะช่วยกันพลิกฟื้นเศรษฐกิจให้คนไทยได้เท่าเทียม พอไปหานายใหม่ เจอพรรคพวกใหม่ๆ เห็นโอกาสใหม่ สันดานเดิมก็กลับมาอีก คราวนี้เล่นใหญ่จะไปแทงหลังคนใหญ่ขึ้นไปอีก เลยโดนซะ ความไม่ลงรอยทางการเมืองของ “ผู้ชายคนนึง” ผมกลับไม่ว่าอะไรเลย นักเลงต่อยกันมันเป็นเรื่องธรรมดา แต่การ “แทงหลังคน” “ซ้ำๆ” ของผู้หญิงคนนึง แบบนี้ไม่ใช่นักเลง
แต่เป็นคนเลว สันดานทรยศ เป็นงูพิษ สมน้ำหน้าครับ ปล.เน้นนะครับว่า ผมไม่ได้พูดถึงใครเป็นพิเศษ อย่าโยงไปเรื่องคนโดนปลดเมื่อวานนะ”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน THE TRUTH โพสต์ประเด็น “พิธา” ปากกล้าแต่ขาสั่น ประกาศกร้าว พร้อมสู้บัตร 2 ใบ เชื่อจะมีการยุบสภา?
วันนี้ช่วงก่อนจะมีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 6 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง การลงมติร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 83 และ 91 วาระที่สาม พรรคก้าวไกล ได้แถลงจุดยืน ว่า พรรคก้าวไกลมีมติว่าจะงดออกเสียง เนื่องจากว่าไม่เห็นด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญบางมาตรา เพราะเห็นว่า ควรจะแก้ไขทั้งฉบับ
แต่เห็นด้วยกับบัตร 2 ใบ แต่ยังไม่เห็นด้วยกับวิธีการคำนวณคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ แต่ถึงแม้ว่าการลงมติวาระ 3 ก็จะไม่มีการส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ และพร้อมที่จะสู้ แม้ว่าจะเป็นการเลือกตั้งบัตร 2 ใบ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงประเด็น ปัญหาภายในพรรคพลังประชารัฐ ที่มีการปลด ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีต รมช. เกษตรและสหกรณ์ นายพิธา กล่าวว่า คงจะมีปัญหาเรื่องเสถียรภาพ และรัฐบาลก็ไร้คุณภาพที่จะแก้ไขปัญหาของบ้านเมือง โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจ และ โควิด ดังนั้น เป็นไปได้ที่จะมีการยุบสภา เพราะผลโหวตไม่ไว้วางใจ นายกฯคะแนนไม่สู้ดี และรวมทั้งรอยร้าวของพลังประชารัฐเองด้วย
ต่อมาปรากฏว่า ที่ประชุมมีมติ ทั้งในส่วนของ ส.ส.ที่ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง เสียงจาก ส.ว.เกินจำนวน 1 ใน 3 หรือ 84 เสียง รวมถึงเสียงจากพรรคฝ่ายค้าน 20% หรือ 45 เสียง ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไปเป็นที่เรียบร้อย จึงถือว่าที่ประชุมให้ความ “เห็นชอบ” รัฐธรรมนูญฉบับแก้ไข
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ยุทธศาสตร์ที่ผิดพลาด ของ “ทักษิณ” ซึ่งบางครั้งการทะนงตน เชื่อมั่นในตัวเองสูง ว่าเก่งกล้าสามารถกว่าใครทางการเมือง อาจมีส่วนอย่างมาก ทำให้ “คิดง่าย ทำง่าย”
โดยอาจมองว่า กระแสที่ตัวเอง รวมทั้งเครือข่ายม็อบ 3 นิ้วปลุกปั่น ดิสเครดิต พล.อ.ประยุทธ์ เอาไว้ ขึ้นถึงจุดสุกงอมที่ทำให้คนไทยไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ แล้ว และเชื่อว่า เมื่อประชาชนไม่เอา ส.ส.ก็ต้องไม่เอา จึงมีการดีลลับ กับบางคนในรัฐบาลเพื่อเปลี่ยนขั้วทางการเมือง หลังโหวตล้ม “ประยุทธ์ ”สำเร็จ
และบางคน คนนั้น ก็พูดแปลก โดยอ้างว่า การตัดสินใจโหวตของ ส.ส.อยู่ที่ประชาชน เพื่อที่จะสร้างความชอบธรรมว่า การรับ “ดีล” มานั้น ไม่ใช่เรื่องผิด?
แต่ปรากฏว่า ประชาชนคนไทย ไม่ได้มีความสุกงอม ที่จะเอา พล.อ.ประยุทธ์ ออก และรู้ทันเกมของ “ทักษิณ” รวมทั้งกระแสที่ปลุกปั่นกันนั้น ก็แค่กระแสที่จ้างคนปั่นในโลกโซเชียลเท่านั้น คนไทยส่วนใหญ่ ไม่สนใจการเมืองมากไปกว่าการดิ้นรนเอาตัวรอดจากปัญหาปากท้อง
ส่วนที่บ่นไม่ชอบนายกฯ ก็เพราะเป็นความรับผิดชอบของนายกฯ และต้องการหาที่ระบายอารมณ์ สุดท้ายก็ชื่นชอบเงินเยียวยารัฐบาลอยู่ดี ทั้งนี้ ไม่รวมฐานเสียง “ทักษิณ” ที่ใช้เป็นเกณฑ์วัดไม่ได้ เพราะฆ่าให้ตาย ก็ยังรัก “ทักษิณ”
เมื่อเป็นเช่นนี้ โอกาสที่ ส.ส.จะเทเสียงแบบถล่มทลาย และโหวตไม่ไว้วางใจ “ล้มนายกฯ” ไปพร้อมกับดีลนี้ จึงจบลงเมื่อทุกอย่างถูกจับได้
อีกอย่าง คนที่ “ทักษิณ” ดีลด้วย แม้จะเป็นใหญ่ เป็นโตในพรรคแกนนำรัฐบาล แต่ก็ยังถือว่าแค่เด็กสร้าง เมื่อเทียบกับอดีต อย่าง “เสธ.หนั่น” พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ หรือ นายเนวิน ชิดชอบ ที่ยังไม่เติบโตทางการเมืองอย่างเต็มที่ แถมมีประวัติด่างพร้อยร้ายแรงในสายตาคนไทย ถึงแม้ว่า “ทักษิณ” ไม่ต้องการเสียงมากมายอะไร แต่เห็นได้ชัดว่า ชั้นเชิงยังตื้น และอ่อนหัดต่อเกมระดับนี้ จนถูกจับได้
ไม่เพียงเท่านั้น ถ้า “ทักษิณ” จะมองว่า ตนสามารถพูดคุยกับ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะเคยตั้งเป็น ผบ.ทบ.สมัยรัฐบาล “ทักษิณ 1” และเป็นพี่ชายของเพื่อนสนิท ได้ แต่พอเจอเกมดักคอ “พี่ใหญ่” ของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ว่า “พี่น้อง 3 ป.” ไม่มีวันทำร้ายกัน พล.อ.ประวิตร ก็ต้องคิดหนักเหมือนกัน และในที่สุด ก็เลือกพี่น้อง “3 ป.”
เหนืออื่นใด, เริ่มมี ส.ส.และแกนนำพรรคพลังประชารัฐ บางคนออกมาพูดแล้วว่า พรรคได้ ส.ส.เข้ามาจำวนมาก ก็เพราะพล.อ.ประยุทธ์ ดังนั้น ต่อไปนี้จนถึงยุบสภา เลือกตั้งใหม่ (ถ้ามี) ก็ต้องยึดโยง พล.อ.ประยุทธ์ กับพรรคเอาไว้อย่างเหนียวแน่น มิใช่ใครอื่น อย่างไม่ต้องสงสัย นี่อาจเป็นส่วนหนึ่ง ที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จะยังคงเป็นใหญ่ และอยู่ยาว อย่างที่ “สมศักดิ์ เจียม” ทำนาย!?