รองโฆษกรัฐบาล เผย ครม.รับทราบภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ 2 ปี 2564 ของ กนง. พร้อมมีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.50 ต่อปี ประเมิน ศก.ฟื้นตัวช้าลง แนะจัดหาวัคซีนให้พอ
วันนี้ (7 ก.ย.) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ 2 ปี 2564 ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) โดยที่ประชุม กนง.เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 และ 23 มิถุนายน 2564 มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 0.50 ต่อปี
โดย กนง.ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้าลงและไม่ทั่วถึงมากขึ้นเมื่อเทียบกับประมาณการเดิม และคาดว่า ในปี 2564 และ 2565 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวที่ร้อยละ 1.8 และ 3.9 ตามลำดับ
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปยังเผชิญกับความไม่แน่นอนและความเสี่ยงด้านต่ำอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ 1. ความยืดเยื้อของการระบาดและการกลายพันธุ์ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) 2. เม็ดเงินเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจอาจน้อยกว่าคาด
3. ฐานะทางการเงินของภาคธุรกิจโดยเฉพาะภาคบริการอาจได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากการระบาดระลอกใหม่จนต้องปิดกิจการและเลิกจ้างแรงงานจำนวนมาก และ 4. ปัญหาห่วงโซ่การผลิตหยุดชะงัก (Supply Disruption) และต้นทุนค่าขนส่งทางเรือที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจส่งออกของไทยมากกว่าที่คาด
ขณะที่ กนง.เห็นว่า โจทย์สำคัญที่สุดของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน คือ การจัดหาและการกระจายวัคซีนที่เหมาะสมให้เพียงพอและทันการณ์และควรเร่งดำเนินมาตรการทางการเงิน โดยเฉพาะสินเชื่อฟื้นฟูและการเร่งปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ซึ่งจะช่วยภาคธุรกิจและครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบได้อย่างตรงจุดมากกว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำ จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายและทุกภาคส่วนต้องเร่งผลักดันมาตรการต่างๆให้เห็นผลโดยเร็วเพื่อช่วยประคับประคองเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในระยะ 6 เดือนข้างหน้า