“มาดามเดียร์” แจงโหวตไม่ไว้วางใจ “อนุทิน” เหตุจัดการวัคซีนล้มเหลว-ไร้แผนรองรับ ยันไร้ปัญหาส่วนตัว น้อมรับหากมีมาตรการลงโทษ ยัน “ดาวฤกษ์” ไม่แตก เชื่อในความเป็นเพื่อน มิตรภาพ
วันนี้ (6 ก.ย.) น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ สัมภาษณ์ผ่านรายการเจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand ถึงประเด็นถูกลอยแพจากกลุ่มดาวฤกษ์ หลังสมาชิกโหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีไปคนละแนวทาง เปรียบเสมือนถูกเทแล้วใช่หรือไม่ ว่า ไม่ได้เท ตนมองว่า ในการโหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทั้งตนและเพื่อนๆ เราต่างทำการบ้านว่าจะโหวตหรือไม่โหวตให้ใคร และตัดสินใจบนความรอบคอบในการพูดคุย ปรึกษาหารือ แต่ใครจะลงมติอย่างไรถือเป็นเอกสิทธิ์ของ ส.ส. แต่ละคน ซึ่งเป็นเรื่องที่เราให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่ก้าวก่าย ทั้งนี้ เราไม่อยากให้มีความคิดใครคนใดคนหนึ่งไปนำความคิดของคนใดคนหนึ่ง เรามีการคุยกันในบทคำอภิปราย ใครเห็นด้วยไม่เห็นด้วย ใครรู้สึกอย่างไร แต่ไม่ได้พูดว่าจะลงมติอย่างไรกัน ซึ่งตนถือว่าการลงมติอย่างไรนั้น ขอละไว้เป็นเอกสิทธิ์ของตนเองเช่นเดียวกัน คิดว่า วันนี้พวกเราทุกคน ส.ส ทุกคน ที่ได้รับเลือกจากประชาชนมาเข้ามาทำงาน เป็นตัวแทนในสภาผู้แทนราษฎร ล้วนต้องเป็นผู้ที่มีวุฒิภาวะ ต้องคิดได้ ยืนยันว่าใครจะโหวตอย่างไรนั้นไม่ได้มีการพูดคุย แต่ทางพรรคพลังประชารัฐ ได้มีการเรียกประชุมและมีการพูดคุยว่าอยากให้บรรยากาศในเรื่องการโหวตไปในทิศทางเดียวกัน ในช่วงของสัปดาห์ที่ผ่านมาข่าวของพรรคพลังประชารัฐเป็นที่ทราบกันดี โดยน้ำหนักสำคัญ คือ การโหวตให้กับนายกรัฐมนตรี เป็นหลัก
เมื่อถามว่า การโหวตสวนไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกับพรรคพลังประชารัฐ จะมีผลอะไรกับพรรคและทางพรรคมีสัญญาณอะไรหรือไม่ น.ส.วทันยา กล่าวว่า ในการที่ตัดสินใจโหวตครั้งนี้ เป็นเพราะไม่สามารถฝืนใจตัวเองได้จริงๆ โดยเฉพาะปัญหาเรื่องโควิด-19 วันนี้คนไทยทุกคนโดยเฉพาะคนกรุงเทพมหานคร เป็นไข่แดงในการเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 เราเห็น รับรู้ และประจักษ์ว่าการบริหารในงานสาธารณสุขล้มเหลว ผิดพลาด โดยเฉพาะในเรื่องการจัดหาวัคซีนที่มาไม่ตามแผน ตนคาดหวังว่าในฐานะผู้นำ วิสัยทัศน์ในเรื่องแผนสำรองเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นการขาดแคลนของวัคซีน ทำให้เห็นว่าผู้นำเอง คือกระทรวงสาธารณสุข ที่เป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงในการจัดหาวัคซีนกลับไม่ได้มีแผนสำรองใดๆ ไว้เลย ทำให้เกิดปัญหาในประเทศ ประชาชนต้องล้มตายจากการไม่ได้รับวัคซีน
เมื่อถามว่า ครั้งที่แล้วมีการโหวตสวนมติพรรคพลังประชารัฐ ถูกลงโทษ 6 เดือน ครั้งนี้สวนมติพรรคอีกจะถูกลงโทษกี่เดือน น.ส.วทันยา กล่าวว่า ตนไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ทั้งหมดพร้อมที่จะน้อมรับ หากทางพรรคพลังประชารัฐไม่สบายใจอย่างไร แต่ตนคิดว่าทำงานเป็นแบบตรงไปตรงมา ไม่ได้มีลับลมคมใน ไม่ได้มี agenda ใดๆ ทั้งสิ้น นั้นจะเห็นจุดยืนที่ตนเลือก คือการยืนเคียงข้างประชาชน
เมื่อถามว่า งดออกเสียงให้กับนายอนุทิน เพราะมองว่าผิดพลาดในการแก้ปัญหาโควิด-19 เหตุใดจึงไม่งดออกเสียงให้กับนายกรัฐมนตรี เพราะเป็น ผอ.ศบค. น.ส.วทันยา กล่าวว่า ศบค. ทำงานในเรื่องการจัดการแก้ปัญหาโควิด-19 ในภาพรวม แต่เป็นที่ทราบดีว่า กระบวนการการจัดหาวัคซีนเป็นหน้าที่รับผิดชอบของกระทรวงสาธารณสุข แม้ว่าภายหลังตั้งแต่มีการระบาดโควิด-19 ระลอก 3 ประมาณกลางปีที่ผ่านมา ที่นายกรัฐมนตรีได้มีการสั่งโอนอำนาจให้ไปขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี แต่เมื่อเกิดการแพร่ระบาดระลอก 3 ในเรื่องการจัดหาวัคซีนได้เกิดขึ้นไปก่อนหน้านั้นแล้ว ควรเกิดขึ้นจริงๆ ตั้งแต่เมื่อปี 2563 ที่แต่ละประเทศเร่งหาวัคซีน ในตอนที่วัคซีนยังผลิตไม่เสร็จด้วยซ้ำไป ดังนั้น ในการจัดหาวัคซีน การมีแผนสำรองเหล่านี้ ตนมองว่า เป็นความรับผิดชอบของกระทรวงสาธารณสุขโดยตรงในอันดับแรก ส่วน ศบค. ไม่ใช่ว่าไม่เชิงรับผิดชอบเลย แต่อย่างที่บอกในการจัดการในเรื่องของวัคซีน ถ้าจะต้องลงมติไม่ไว้วางใจท่านใดท่านหนึ่ง ก็ควรจะต้องเป็นผู้ที่รับผิดชอบโดยตรง
เมื่อถามว่า เกิดการวิจารณ์ว่ามีความในใจมีเรื่องส่วนตัวกับนายอนุทิน น.ส.วทันยา ระบุว่า ไม่มีใดๆ ทั้งสิ้น อย่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งที่ผ่านมา ไม่ได้มีประเด็นเรื่องโควิด-19 หรือบรรยากาศไม่ได้รุนแรงแบบนี้ ตอนนั้นตนได้ให้ความไว้วางใจท่าน พอเรื่อง พ.ร.ก.เงินกู้ ตอนมาขออนุมัติเงินกู้ 5 แสนล้าน รอบ 2 ตนมีการอภิปรายถึงการทำงานสาธารณสุข จากตัวเลขของการทำงานเราเห็นถึงความผิดพลาดจริงๆ เงิน 4.5 หมื่นล้าน ได้ไปรอบแรกเมื่อปี 2563 ที่ถูกไปใช้ด้านสาธารณสุข ซึ่งเป็นอำนาจโดยตรงของกระทรวง แต่กระทรวงกลับไม่ใช้เงินทั้งที่เงินจำนวนนี้สามารถจัดซื้อวัคซีนให้คนไทยทั้งประเทศได้ แต่ถึงเดือนพฤษภาคม 2564 เพิ่งเบิกใช้ประมาณ 7 พันล้านบาท ยืนยันว่า ไม่มีเรื่องส่วนตัว ทั้งนี้ เชื่อว่า ประชาชนทุกคน โดยเฉพาะคนกรุงเทพมหานคร เป็นที่ประจักษ์ได้ว่าเป็นอย่างไร
ส่วนกลุ่มดาวกฤกษ์ยังอยู่หรือไม่นั้น น.ส.วทันยา ระบุว่า ดาวฤกษ์เราเริ่มมาจากความเป็นเพื่อน และการทำงาน สื่อมวลชนจึงตั้งฉายาให้เรา เชื่อว่า ในความเป็นเพื่อน มิตรภาพ เป็นมาอย่างไร ก็จะเป็นแบบนั้นเหมือนเดิม